รีเซต

20 ที่เที่ยวยุโรป หน้าร้อน ปักหมุด เมืองสวย เที่ยวชิลตลอดซัมเมอร์นี้

20 ที่เที่ยวยุโรป หน้าร้อน ปักหมุด เมืองสวย เที่ยวชิลตลอดซัมเมอร์นี้
SummerB
12 กรกฎาคม 2566 ( 15:30 )
4.4K

        เสน่ห์ของ ยุโรป นั้นมีตลอดทุกช่วงเวลาของปีเลยค่ะ แต่ถ้าอยากเที่ยวชิลๆ ท่ามกลางอากาศแสนอบอุ่นล่ะก็ ยังไงต้องไม่พลาด 20 ที่เที่ยวยุโรป หน้าร้อน ถ่ายรูปสวยๆ กับทุ่งดอกไม้ อาบแดดชิลๆ ริมทะเล ปีนเขา หรือจะเดินชมเมืองเพลินๆ ก็เริ่ดไม่แพ้ใคร เรียกได้ว่าสมมงกับการเป็นช่วงไฮซีซั่นของการเที่ยวยุโรปเลยล่ะ

 

ปักหมุด เมืองสวย ที่เที่ยวหน้าร้อน ยุโรป

รับส่วนลด แพ็กเกจเที่ยวต่างประเทศ ได้ที่นี่

 

1. ซานโตรินี Santorini

Greece

 

 

         เที่ยวยุโรปช่วงหน้าร้อน ยังไงก็พลาด ซานโตรินี (Santorini) ไปไม่ได้ค่ะ เพราะที่นี่ถือเป็นเกาะสวรรค์ของ ประเทศกรีซ (Greece) เลยก็ว่าได้ ด้วยความงดงามของทัศนียภาพ และภาพของอาคารบ้านเรือนสีขาวที่ตั้งไล่เรียงลงมาจากไหล่เขา ตัดกับสีฟ้าสดใสของทะเลอีเจียน ทำให้ใครๆ ก็อยากมาชมความงามของที่นี่สักครั้ง ซานโตรินีประกอบไปด้วยหมู่บ้านเก่าแก่หลายแห่ง เช่น ฟีร่า (Fira) เอีย (Oia)  ธีรา (Thira) พีร์กอส (Pyrgos) เป็นต้น แต่ละเกาะต่างก็มีเสน่ห์ และความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แค่นึกภาพว่าเราได้ไปสูดกลิ่นอายทะเลท่ามกลางหมู่บ้านแสนสวยเหล่านี้ก็ฟินสุดๆ ไปเลย

 

ซานโตรินี ที่เที่ยวกรีซ

 

============

 

2. เกาะซาคินทอส Zakynthos

Greece

 

 

        นอกจากสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว กรีซยังขึ้นชื่อในเรื่องของชายหาดที่สวยงามติดอันดับโลกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือ หาดนาวาจีโอ (Navagio Beach) บน เกาะซาคินทอส (Zakynthos) นั่นเองค่ะ ความงดงามของหาดทรายสีขาว โอบล้อมไปด้วยผาหินสูงใหญ่ และน้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋วทำให้ที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็นชายหาดที่สวยที่สุดในโลก แถมยังกลายเป็นหนึ่งในฉากสำคัญของซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง Descendants of the Sun (2016) อีกด้วย ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศสดใสของท้องทะเลแบบเน้นๆ จะพลาดหาดนาวาจีโอแห่งนี้ไปไม่ได้เลย

 

 

============

 

3. ดูบรอฟนิก Dubrovnik

Croatia

 

 

       ไปเยือนเมืองมรดกโลกกันบ้างค่ะ ดูบรอฟนิก (Dubrovnik) เป็นเมืองท่าเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเอเดรียติกทางตอนใต้ของ โครเอเชีย (Croatia) ภายในย่านเมืองเก่าของดูบรอฟนิกเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ แต่ละแห่งต่างมีอายุหลายร้อยปีถึงพันปีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ดูบรอฟนิกได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1979 และด้วยความงามของบ้านเรือนที่สอดคล้องไปกับทัศนียภาพอันกว้างไกลของท้องทะเล จึงทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามให้เป็น “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก” ค่ะ

 

 

============

 

4. กอเตอร์ Kortor

Montenegro

 

     

       กอเตอร์ (Kotor) เมืองสวยของ มอนเตเนโกร (Montenegro) ที่สามารถเดินทางจากดูบรอฟนิกได้ด้วยทางรถยนต์ค่ะ เมื่อมาถึงแล้ว แนะนำให้ขึ้นชมวิวสวยๆ บนป้อมปราการ San Giovanni’s Fortress เราก็จะได้เห็นวิวของ อ่าวกอเตอร์ (Bay of Kotor) พร้อมกับบ้านเมืองริมชายฝั่ง และเทือกเขาสูงที่โอบล้อมได้แบบเต็มๆ ตา แม้กอเตอร์จะมีชื่อเสียงโด่งดังจนทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้นในแต่ละปี แต่ก็ยังไม่ทำให้เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ลดน้อยลงไป

 

 

============

 

5. ปิราน Piran

Slovenia

 

 

      ปิราน (Piran) หนึ่งในเมืองสวยของ ประเทศสโลวีเนีย (Slovenia) ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ไฮไลท์ของปิรานเห็นทีจะเป็น จัตุรัสทาร์ทินี (Tartini Square) จัตุรัสหลากสีกลางเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือ และหอระฆังสถาปัตยกรรม Venetian สะท้อนถึงการที่เมืองแห่งนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของ เวนิส (Venice) ระหว่างปี ค.ศ. 1283-1797 รวมระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 500 ปีได้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1991 ที่ปิรานได้เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสโลวีเนียโดยสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่ยังหลงเหลือกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนอยู่ค่ะ

 

 

============

 

6. ชิงเคว เทเร Cinque Terre

Italy

 

 

       เติม vitamin sea กันต่อที่ ชิงเคว เทเร (Cinque Terre) เมืองทะเลชื่อดังของ อิตาลี (Italy) ที่ประกอบไปด้วยหมู่บ้านสีสันสดใสทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ Monterosso , Vernazza , Corniglia , Manarola และ Riomaggiore  แต่ละหมู่บ้านต่างก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยยังคงเสน่ห์ของบ้านเรือนสีสันฉูดฉาดเข้ากับน้ำทะเลสีสวยได้อย่างลงตัว เนื่องจากมีสภาพอากาศที่ไม่ร้อนและไม่หนาวมากเกินไป จึงทำให้เหมาะกับการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิและหน้าร้อนค่ะ จะได้เล่นทะเลกันแบบชิลๆ 

 

 

============

 

7. ชายฝั่งอมาลฟี Amalfi Coasts

Italy

 

 

      เที่ยวอิตาลีช่วงหน้าร้อนทั้งที ยังไงก็ต้องไปเช็คอินที่ ชายฝั่งอมาลฟี (Amalfi Coast) และหมู่บ้านต่างๆ ที่เรียงรายตลอดแนวชายฝั่ง นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีครบทั้งความหลากหลายของธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมที่สวยงามจริงๆ ค่ะ จึงไม่แปลกใจเลยหากที่นี่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หากเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เราก็จะเห็นสถาปัตยกรรมอันงดงาม และร้านรวงต่างๆ มากมาย รวมถึงเครื่องชามเซรามิกสีสันจัดจ้านบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของหมู่บ้านในแถบนี้อย่างชัดเจน แถมยังมี Limoncello liqueur ที่ทำจาก Stusato Amalfitano สายพันธุ์มะนาวที่เพาะปลูกเฉพาะที่ริมชายฝั่งอมาลฟีให้เราได้ลองชิมด้วย 

 

Grimas / Shutterstock.com

 

============

 

8. โพรวองซ์ Provence

France

 

 

      เที่ยว แคว้นโพรวองซ์ (Provence) ในช่วงฤดูร้อนแล้วก็อย่าลืมไปถ่ายรูปสวยๆ ท่ามกลาง ทุ่งลาเวนเดอร์ กันนะคะ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน-สิงหาคมเลย โดยเฉพาะที่ Valensole Plateau ทุ่งลาเวนเดอร์อันแสนกว้างใหญ่ในเมือง Valensole ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก มองออกไปก็จะเห็นทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงละมุนเรียงตัวออกไปจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถ้าได้ไปเดินเล่นท่ามกลางมวลดอกไม้สีสวยก็คงฟินไม่น้อยเลย

 

 

        นอกจากลาเวนเดอร์แล้ว แคว้นโพรวองซ์ยังมีเมืองสวยๆ อีกหลายแห่งที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมเก่าแก่อย่าง อาวีญง (Avignon) และ กราซ (Grasse) รวมถึงทิวทัศน์ของสวยงามของท้องทะเลทางชายฝั่ง เฟรนช์ ริเวียร่า (French Riviera) อย่าง เมืองมาร์แซย์ (Marseilles), แซ็ง-ทรอเป (Saint-Tropez) และ Villefranche-sur-Mer เป็นต้น แต่ละเมืองต่างก็มีบรรยากาศแสนสดใส และวิวสวยๆ ของท้องทะเล เหมาะกับการไปพักตากอากาศในช่วงหน้าร้อนเป็นอย่างมาก

 

 

============

 

9. นีซ Nice

France

 

 

        นีซ (Nice) เป็นเมืองหลวงของ ชายฝั่งโกตดาซูร์ (Côte d'Azur) หรือที่คุ้นเคยในอีกชื่อว่า เฟรนช์ ริเวียร่า (French Riviera) และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของ ประเทศฝรั่งเศส (France) นับเป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นในฝันของใครหลายๆ คนที่อยากจะมาสัมผัสความงดงามของบ้านเมือง และชายหาดสวยๆ สักครั้ง 

 

 

       กิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยคือ การมาเดินเล่นที่ ถนนเดส ซ็องเกรส์ (Promenade des Anglais) ถนนเลียบชายหาดชื่อดังที่สามารถมองเห็นชายหาดสีขาวและน้ำทะเลสีฟ้าได้อย่างใกล้ชิด พร้อมกับร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมชายหาด ถ้าอยากชมวิวสวยๆ ก็ต้องไปที่ คาสเซิล ฮิลล์ (Castle Hill) จุดชมวิวหลักที่สามารถชมวิวนีซได้จากมุมสูง งานนี้อย่าลืมเตรียมกล้องถ่ายรูปขึ้นไปถ่ายรูปสวยๆ ด้วยนะ

 

============

 

10. อะโซร์ส Azores

Portugal

 

 

        เที่ยว "ฮาวายแห่งยุโรป" ที่ อะโซร์ส (Azores) หมู่เกาะทางฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของ โปรตุเกส (Portugal) โดดเด่นด้วยทิวทัศน์อันงดงามของท้องทะเล และขุนเขา โดยมีไฮไลท์เป็น เซเท ซิดาเดส (Sete Cidades) เมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบตรงปล่องภูเขาไฟใน São Miguel เกาะที่ใหญ่ที่สุดในอะโซร์ส รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบ และเนินเขา ยิ่งถ้าได้มาเที่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมก็จะได้พบกับ ดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) สีสวยท่ามกลางทิวทัศน์ของขุนเขา งดงามอลังการมากๆ

 

 

============

 

11. Algarve

Portugal

 

 

        Algarve ภูมิภาคทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโปรตุเกส เป็นที่ตั้งของเมืองสวยริมทะเลมากมาย โดยเฉพาะ Lagos ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความงดงามของชายหาด และสถาปัตยกรรมที่ภายในเขตเมืองเก่า ชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Praia do Camilo ชายหาดเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยผาหินสูงใหญ่รูปทรงแปลกตา ตัดกับน้ำทะเลสีมรกตอย่างลงตัว ไหนๆ ก็มาแล้ว ลงไปเดินเล่นบนหาดทรายนุ่มๆ สัมผัสน้ำทะเลใสๆ ให้สดชื่นสักหน่อยก็ดีนะคะ

 

============

 

12. อิบิซา Ibiza

Spain

 

 

        เกาะอิบิซ่า (Ibiza) เป็นส่วนหนึ่งของ หมู่เกาะ Balearic Islands ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ สเปน (Spain) ที่เปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ของการพักผ่อนเลยก็ว่าได้  เนื่องจากมีน้ำทะเลสีสวย และหาดทรายที่เหมาะกับการไปอาบแดด และนั่งชมอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติก แถมยังเป็นสวรรค์ของนักปาร์ตี้ริมหาดทั้งหลายด้วย บรรยากาศดีๆ แบบนี้ เหมาะกับการไปชิลในช่วงหน้าร้อนสุดๆ ค่ะ

 

 

============

 

13. เลาเทอร์บรุนเนิน Lauterbrunnen 

Switzerland

 

 

       เลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางก่อนขึ้นไปยัง ยอดเขายุงเฟรา (Jungfrau) ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาสูงที่มีน้ำตกไหลลงมาจากผาถึง 72 แห่ง รายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้า และวิวของเทือกเขาแอลป์สุดอลังการ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับเทพนิยายค่ะ เราสามารถเที่ยวเลาเทอร์บรูเนินได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะ ฤดูร้อน และ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่เราจะได้สัมผัสอากาศที่แจ่มใส ชมดอกไม้ผลิบานท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีในหน้าร้อน และชมสีสันของใบไม้ที่ผลัดใบในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แถมอากาศก็ไม่ร้อนไม่หนาวมากจนเกินไป ถ่ายรูปสวยสุดๆ

 

 

============

 

14. กรินเดลวัลด์ Grindelwald 

Switzerland

 

 

        กรินเดลวัลด์ (Grindelwald) หมู่บ้านเล็กๆ ใจกลางหุบเขาบน เทือกเขา Burnese Alps ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ ประตูสู่ภูมิภาคยุงเฟรา เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางขึ้นไปยังยอดเขายุงเฟรานั่นเองค่ะ แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่กลับมีวิวที่ไม่ธรรมดาเลย มองออกไปเราก็จะเห็นทิวทัศน์สุดอลังการของเทือกเขาอันยิ่งใหญ่ ทิวสน และทุ่งหญ้าสีเขียวขจี แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสุดแอดเวนเจอร์หลายแห่ง อย่างการไปเดินป่าปีนเขาที่ กรินเดลวัลด์ เฟียส (Grindelwald First) ยอดเขาสูง 2,168 เมตร และชมความงดงามของ ทะเลสาบบัคชัลป์ (Lake Bachalpsee) ทะเลสาบที่มีผืนน้ำราวกับกระจกที่สะท้อนเงาเทือกเขาด้านหลัง หากไปในช่วงหน้าร้อนก็ได้จะสัมผัสกับบรรยากาศสดใสประมาณนี้เลยจ้า

 

 

============

 

15. หมู่เกาะโลโฟเทน Lofoten Islands

Norway

 

 

         หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten Islands) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า โลโฟเทน เป็นหมู่เกาะทางตอนเหนือของ ประเทศนอร์เวย์ ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ต่างๆ โดยมีเกาะใหญ่ทั้งหมด 5 เกาะ ได้แก่ Austvågøy, Gimsøya, Vestvågøy, Flakstadøya, และ  Moskenesøya และเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่หลายแห่ง เช่น Reine, Hamnoy, Å เป็นต้น ซึ่งลักษณะของหมู่บ้านชาวประมงเหล่านี้ เขาจะเรียกกันว่า Rorbuer ส่วนใหญ่แล้วก็จะทาด้วยสีแดง ตามมาด้วยสีเหลือง สีเขียว และสีขาวค่ะ 

 

 

         ส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมไปเที่ยวหมู่เกาะโลโฟเทนในช่วงหน้าร้อนมากกว่า เพราะนอกจากจะมีบรรยากาศสดใส คึกคัก และอากาศไม่หนาวจนเกินไปแล้ว ยังเดินทางได้สะดวกกว่ามากๆ ด้วย เพราะไม่จำเป็นต้องลุยหิมะแบบในช่วงหน้าหนาวค่ะ แต่ถ้าอยากไปล่าแสงเหนือ ช่วงหน้าหนาวก็อาจจะตอบโจทย์สำหรับคุณก็ได้นะ

 

============

 

16. คอร์นวอล Cornwall

United Kingdom

 

 

        คอร์นวอล (Cornwall) แคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ อังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Land's End จุดสิ้นสุดของแผ่นดินอังกฤษนั่นเองค่ะ มาถึงคอร์นวอลแล้ว ก็ต้องไปแวะ Penzance เมืองท่าของแคว้นที่มีทั้งหมู่บ้านชาวประมง และสถาปัตยกรรมสวยๆ ให้ไปชม จากนั้นก็ไปชมทิวทัศน์สุดอลังการของพระอารามเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-11 บนยอดเขา St Michael's Mount ใน Mount's Bay โอบล้อมไปด้วยท้องทะเลอันกว้างใหญ่ และจะงดงามที่สุดในยามเย็นช่วงอาทิตย์ใกล้ตกดินค่ะ เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพฝันจริงๆ

 

Valerie2000 / Shutterstock.com

 

============

 

17. เกาะสกาย Isle of Skye

Scotland

 

 

        หลีกหนีจากความวุ่นวายไปอ้าแขนรับธรรมชาติที่ เกาะสกาย (Isle of Skye) สกอตแลนด์ (Scotland) กันค่ะ เหมาะกับคนรักธรรมชาติและความเงียบสงบมากๆ มองออกไปก็จะเห็นทุ่งกว้างปกคลุมไปตามทิวเขา และหน้าผาอันสูงใหญ่อย่าง The Storr และ Quiraing เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักผจญภัยที่ชอบปีนเขาเลยก็ว่าได้ แถมยังสามารถเก็บภาพแลนด์สเคปสวยๆ กลับมาได้เยอะเลยด้วย บนเกาะสกายไม่ได้มีเพียงเนินเขาและท้องทะเลเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งของปราสาทเก่าแก่อย่าง Dunvegan Castle และ Armadale Castle ด้วย วิวสวยอลังการสุดๆ 

 

 

============

 

18. ซาราเยโว Sarajevo 

Bosnia and Herzegovina

 

 

          ซาราเยโว (Sarajevo) อาจเป็นเมืองที่เรารู้สึกไม่คุ้นหูเท่าไร แต่ความจริงแล้วที่นี่เป็นเมืองหลวงของ ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) ที่แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิวทิวทัศน์ของขุนเขาที่สวยงามค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ภายในเมืองก็จะมี มหาวิหาร The Cathedral of Jesus's Sacred Heart มัสยิด Emperor's Mosque และสะพานข้ามแม่น้ำ Miljacka ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความสวยงามของอาคารบ้านเรือนในซาราเยโวพร้อมกับทิวทัศน์ของขุนเขาที่โอบล้อมเมืองค่ะ

 

 

============

 

19.  อุชกูลลี่ Ushguli

Georgia

 

 

         อุชกูลี่ (Ushguli) ชุมชนเล็กๆ ที่มีวิวสวยหลักล้าน ตั้งอยู่บนจุดที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,100 เมตร บนที่ราบเชิงเขา Shkhara ของ เทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) ภูมิภาค Svaneti ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ ประเทศจอร์เจีย และยังเป็นหนึ่งในชุมชนที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยุโรปคู่กับ หมู่บ้านจูทา (Juta) อีกด้วย ภายในอุชกูลี่ประกอบไปด้วย 4 หมู่บ้าน ได้แก่ Zhibiani,  ChvibianiChazhashi และ Murqmeli มีทั้งบ้านเรือนของชาวบ้าน โรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า และโรงแรมเอาไว้รับรองนักท่องเที่ยว เป็นหมู่บ้านที่ยังมีกลิ่นอายเก่าแก่ของจอร์เจียอยู่มาก ผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1996 นั่นเองค่ะ

 

 

============

 

20. Signagi

Georgia

 

 

          Signagi เมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างจาก ทบิลิซี (Tbilisi) เมืองหลวงของจอร์เจียประมาณ 75 กิโลเมตร โดดเด่นในเรื่องของไวน์ และภูมิทัศน์ของบ้านเมืองแสนสวยตัดกับเทือกเขาคอเคซัสเป็นฉากหลัง ภายในเมืองประกอบไปด้วยอาคารเก่าแก่ ป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 18 ความยาว 5 กิโลเมตร และหอคอยอีก 23 แห่ง แต่ที่นับว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองเลยก็คือ โบสถ์ St. George และ โบสถ์ St. Stephen ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจอร์เจียนดั้งเดิมค่ะ นอกจากนี้ยังมีตรอกซอกซอยหลายแห่งที่มีร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักเปิดรอนักท่องเที่ยวอยู่ ทำให้ Signagi เป็นเมืองแสนโรแมนติกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย