รีเซต

ทริปเที่ยว นั่งรถไฟขบวนพิเศษ หนองคาย - เวียงจันทน์ 2 วัน 1 คืน ข้ามด่านไปเที่ยวลาว

ทริปเที่ยว นั่งรถไฟขบวนพิเศษ หนองคาย - เวียงจันทน์ 2 วัน 1 คืน ข้ามด่านไปเที่ยวลาว
เอิงเอย
15 ธันวาคม 2565 ( 09:30 )
24.9K

     ทริปนี้ เริ่มต้นขึ้นเพราะเราอยาก นั่งรถไฟเที่ยว ไกลๆ นอนบนรถไฟ เลยเป็นที่มาของ ทริป นั่งรถไฟขบวนพิเศษ หนองคาย ข้ามด่านพรมแดนไป เที่ยวลาว เวียงจันทน์ 2 วัน 1 คืน ค่ะ ค่าตั๋วรถไฟ ค่าที่พัก ค่าเข้าต่างๆ เวียงจันทน์พักที่ไหน ข้ามด่านลาวยังไง นั่งรถไฟขบวนพิเศษ กรุงเทพ - หนองคาย ยังไง เราจะมาเล่าให้ฟังกันแบบละเอียดยิบ และไปตามกันได้จริงๆ ใครมีแผนจะไปเที่ยวเวียงจันทน์ ตามมาดูกันได้เลยค่ะ! 

นั่งรถไฟไปลาว
หนองคาย - เวียงจันทน์ 2 วัน 1 คืน

 

แจกแผนเที่ยวเวียงจันทน์ สปป.ลาว 2 วัน 1 คืน

  • ด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 1 หนองคาย - เวียงจันทน์
  • Bloom Hotel and Café
  • พระธาตุหลวง เวียงจันทน์
  • วัดธาตุหลวงใต้
  • พิพิธภัณฑ์ หอพระแก้ว
  • วัดสีสะเกด
  • ตลาดมืดเวียงจันทน์
  • น้ำพุ ประตูไซ (ประตูชัย) เวียงจันทน์ 

 

รถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ 25 กรุงเทพฯ - หนองคาย

      เราเริ่มต้นทริปกันที่ หัวลำโพง กรุงเทพฯ ในการเดินทางไป เที่ยวเวียงจันทน์ สปป.ลาว ครั้งนี้ เราจะนั่ง รถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ ขบวนที่ 25 กรุงเทพฯ - หนองคาย นั่นเองค่ะ ซึ่งจะออกจากกรุงเทพฯ 20.00 น. และถึงสถานีหนองคาย 06.25 น. ค่ะ เราจะได้นอนชิลๆ บนรถไฟ 1 คืน 

 

 

      รถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ 25 กรุงเทพฯ - หนองคาย เราจอง ชั้น 1 ค่ะ ห้องนึงก็จะนอนได้ 2 คน ด้วยกัน เตียงล่าง ราคา 1,557 บาท เตียงบน 1,357 บาท ใครจะมาเที่ยวคนเดียวก็สามารถ เหมาห้อง นอนคนเดียวได้ในราคา 2,357 บาท ค่ะ ทริปนี้เราไปกัน 4 คน และจองห้องติดกัน ทำให้เราสามารถเปิดประตูตรงกลางเชื่อมห้องกันได้ค่ะ เป็นส่วนตัวและชิลมากๆ เหมือนปาร์ตี้กันเบาๆ บนรถไฟได้เลย 

 

 

     สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก และความสะอาด บอกเลยว่าดีมากๆ เนียนกริบ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ก็คือดี เลยค่ะไม่แพ้รถไฟตู้นอนในต่างประเทศเลยนะ! สักพัก เจ้าหน้าที่รถไฟก็มาทำการปูเตียงให้เรา ได้เวลานอนพอดิบพอดี ฝันดี เจอกันตอนเช้าที่หนองคายค่ะ ZzzZzz

 

รถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ 25 กรุงเทพ - หนองคาย

 

สถานีรถไฟหนองคาย 

      มาถึง สถานีรถไฟหนองคาย ตอนเช้าตรู่ 6 โมงกว่า อากาศเย็นๆ ลมพัดมากำลังดี หลังจากยืนขยี้ตากันอยู่สักพัก เราก็มาขึ้นรถสกายแลปเพื่อไปที่ ด่านพรมแดนหนองคาย ค่ะ แต่ด้วยความหิว! เราเลยแวะไปกินอาหารเช้ากันก่อนในเมืองหนองคาย ให้คุณลุงคนขับรถสกายแลปพาไปค่ะ ได้กินไข่กระทะร้อนๆ สมใจ ก่อนไปที่ด่านพรมแดน ค่ารถของลุงก็ราคาน่ารัก คือ คนละ 100 บาท ลุงไปรอเรากินข้าวจนเสร็จแล้วพาไปส่งที่ด่านเลย แต่ สำหรับใครที่จะไปที่ด่านเลย ค่ารถจะอยู่ที่คนละ 50 บาท ค่ะ 

 

 

     หลังจากผ่านด่านพรมแดนหนองคายมา เราไปขึ้น รถบัสข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ราคาค่าตั๋ว 35 บาท โดยรถจะออกทุก 10-15 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที แป๊ปเดียวก็มาถึง พรมแดนลาว บ้านท่านาแล้ง เวียงจันทน์ กันแล้ว

 

 

ด่านพรมแดนลาว บ้านท่านาแล้ง เวียงจันทน์

เอกสารสำหรับผ่านด่านพรมแดนไปลาว 

  • พาสปอร์ต
  • เอกสารการฉีดวัคซีนโควิด (สามารถขอได้ที่แอปหมอพร้อม)
  • ค่าธรรมเนียมเข้าประเทศ 20 บาท 

     หลังจากยื่นเอกสารกันเป็นที่เรียบร้อย ตม.ลาว ก็จะให้ใบขาออก พร้อมกับ ประทับตราลงในพาสปอร์ตให้เรา (ตรงนี้ต้องเช็คนิดนึงนะคะ เพราะถ้าลืมประทับตราเข้าประเทศ ตอนเราเดินทางขาออก อาจจะโดนปรับเงินได้ค่ะ) 

      ผ่าน ตม.มา เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะมีทั้งร้านค้าสำหรับซื้อ ซิมการ์ด และ ร้านรับแลกเงินกีบ ค่ะ เราก็สามารถแลกเงินจากตรงนี้ได้เลย เราแลกเงินไป 3,000 บาท ได้เงินกีบมา ประมาณ 1 ล้าน 4 แสน 8 หมื่นกว่ากีบ ค่ะ เพิ่งเคยจับเงินล้านเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นไม่เบา!

      เราเหมารถไปกลางใจเมืองของ กรุงเวียงจันทน์ เพื่อนำกระเป๋าของเราไปฝากไว้ที่โรงแรม ก่อนจะไปเที่ยวชิลๆ ในเมืองกันค่ะ ที่พักของเราในเวียงจันทน์นี้ก็คือ Bloom Hotel and Café เวียงจันทน์ ตั้งอยู่กลางใจเมืองเก่าเลยค่ะ ไม่ไกลจากประตูไซ และตลาดมืด ค่ารถเหมามาที่โรงแรม 600 บาท ค่ะ ตกคนละ 150 บาท ค่ารถเราเหมาจ่ายเป็นเงินไทยค่ะ

 

ที่พักเวียงจันทน์ Bloom Hotel and Cafe

 

     มาถึงโรงแรม ฝากกระเป๋ากันเรียบร้อย เราก็มานั่งเล่นตากแอร์เย็นๆ ที่ คาเฟ่ใกล้ๆ โรงแรม Joma Bakery Café Nam Phou ค่ะ จัดกาแฟกันสักแก้วเติมพลังก่อนไปเที่ยวต่อ 

 

1. พระธาตุหลวง เวียงจันทน์

 

 

      เริ่มต้น ที่เที่ยวเวียงจันทน์ ที่แรกของเราก็คือ พระธาตุหลวง เวียงจันทน์ ค่ะ โดยเราเรียกรถสกายแลปไป ค่ารถ 100,000 กีบ (ประมาณ 200 บาท) เราหารกันคนละ 25,000 กีบ สบายๆ ค่ะ รถสกายแลปที่นี่มีแบบเที่ยวเหมาทั้งวันด้วยนะคะ เขาจะพาไปแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเวียงจันทน์ครบๆ แต่เราอยากจะเที่ยวแบบชิลๆ เรื่อยๆ ไม่รีบ เราเลยเรียกรถและจ่ายค่ารถเป็นเที่ยวๆ ไปค่ะ สะดวกดี อีกทั้งค่ารถพอหารกันก็ไม่ได้แพงมาก เราเลยใช้วิธีนี้ในการเดินทางของเราไปยังที่เที่ยวต่างๆ 

 

 

      พระธาตุหลวง เวียงจันทน์ (Pha That Luang) เป็นปูชยสถานสำคัญของเวียงจันทน์ค่ะ เป็นอีกที่เที่ยวต้องห้ามพลาดเลย เพราะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของลาวอีกด้วย สำหรับ ค่าเข้า คนละ 30,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท) 

 

 

     ที่นี่เป็นโบราณสถานเก่าแก่ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวค่ะ สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยของ พระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ เจ้าเหนือหัวผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก องค์พระธาตุที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันคือ องค์พระธาตุที่ได้รับการบูรณะแล้ว มีสีทองเหลืองอร่าม สวยงามมากๆ ค่ะ 

 

 

     ตลอดทางเดินทั้ง 4 ด้านรอบๆ พระธาตุหลวง จะมีโบราณวัตถุต่างๆ พระพุทธรูปเก่าแก่ วางเรียงรายตลอดแนวให้เราได้ชมกัน เหมือนได้มาพิพิธภัณฑ์เลยทีเดียว 

 

 

      หลังจากสักการะพระธาตุ ถ่ายรูปสวยๆ กันเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินออกมาที่ด้านหน้าของพระธาตุหลวง เราก็จะพบกับ อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของอาณาจักรล้านช้างค่ะ โดยเป็นผู้สถาปนากรุงเวียงจันทน์ให้เป็นศูนย์กลางอารยธรรมอีกด้วย 

 

 

2. วัดธาตุหลวงใต้

 

 

      เราเดินต่อมายัง วัดธาตุหลวงใต้ (Wat That Luang Tai) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับ พระธาตุหลวง โดยภายในวัดพระธาตุใต้ ประดิษฐาน พระนอน องค์ใหญ่ เราแวะมาไหว้พระกันสักหน่อยค่ะ บริเวณรอบๆ ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้ได้สักการะ และยังมี รอยพระพุทธบาทจำลอง อีกด้วย 

 

 

 

3. พิพิธภัณฑ์ หอพระแก้ว

 

 

      ไหว้พระกันสบายใจ เราเรียกรถสกายแลปไปต่อที่ พิพิธภัณฑ์ หอพระแก้ว (Ho Phrakeo Museum) ค่ะ ค่าเข้าชม คนละ 30,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท) 

     ที่หอพระแก้วนี้ ในอดีตเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว และเคยเป็นวัดที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบัน พระแก้วมรกต ประดิษฐานที่ วัดพระแก้ว ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย นั่นเองค่ะ

 

 

     ภายในหอพระแก้ว เต็มไปด้วยโบราณวัตถุสำคัญ พระพุทธรูปสำคัญ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในอดีตที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ เสียดายที่เราไม่สามารถถ่ายรูปด้านในพิพิธภัณฑ์ได้ เพราะฉะนั้นใครที่อยากรู้ว่าในพิพิธภัณฑ์มีอะไรที่น่าสนใจอยู่บ้าง แนะนำว่าให้มาเที่ยวชมด้วยตัวเองดูสักครั้งค่ะ 

 

 

 

4. วัดสีสะเกด

 

 

      จากหอพระแก้ว เราเดินต่อมานิดหน่อย ก็จะถึง วัดสีสะเกด (Wat Si Saket) ค่ะ ค่าเข้าชมคนละ 30,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท) โดยแต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่า วัดสะตะสะหัสสาราม เป็นวัดที่สร้างขึ้นเป็นวัดแรกของเวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.2094 โดยพระบิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังหลวง ทำให้เป็นวัดที่กษัตริย์ลาวในสมัยก่อนไปกราบไว้เป็นประจำนั่นเอง 

 

 

     ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้คือ พระพุทธรูปกว่าแสนองค์ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัด ทำให้เป็นที่มาของชื่อ วัดสะตะสะหัสสาราม ซึ่งมีความหมายว่า วัดแสน ค่ะ แม้ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปอยู่มากมายภายในวัด แต่ก็มีเหลืออยู่ประมาณเพียง 10,000 กว่าองค์เท่านั้น 

 

 

      มีความแตกต่างที่น่าสนใจของวัดสีสะเกดก็คือ สถาปัตยกรรมโดยรวมของวัด โดยจะมีการใช้ศิลปะผสมผสานทั้งตามแบบล้านช้างและศิลปะรัตนโกสินทร์เข้าด้วยกัน เป็นอีก วัดสวย เวียงจันทน์ ที่ไม่ควรพลาดแวะมาเที่ยวชมเลยค่ะ

 

 

      เราออกจากวัดสีสะเกดกลับไปยังที่พักของเรากันก่อนค่ะ เพราะแดดตอนช่วงบ่าย 2 ที่เวียงจันทน์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จากวัดเดินมาถึงที่พักเราประมาณ 10 นาที เช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อย แล้วก็ขอพักหลบแดดกันก่อนที่ตอนเย็นเราจะออกไปม่วนในเวียงจันทน์อีกครั้งค่ะ 

 

ที่พักเวียงจันทน์ Bloom Hotel and Café

 

 

      ห้องพักของเราที่ Bloom Hotel and Café เวียงจันทน์ เราจองห้อง Superior ค่ะ ราคาคืนละ 1,000 บาท หารกันคนละ 500 บาทชิลๆ ไปเลย ห้องพักสะอาด กว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบๆ เลยค่ะ ห้องน้ำก็ดีมากๆ แยกส่วนเปียก ส่วนแห้งไว้ชัดเจน แต่ประตูห้องน้ำเป็นกระจกขุ่นๆ แอบเซ็กซี่เบาๆ เหมือนกันน้า >.< ใครที่มาเที่ยวเวียงจันทน์ ที่นี่ก็ถือว่าสะดวกมากๆ เลยค่ะ เพราะโลเคชั่นตั้งอยู่กลางใจเมืองเลย ไม่ไกลทั้งจากที่เที่ยวต่างๆ ในเวียงจันทน์ และ ตลาดมืด ริมแม่น้ำโขง อีกด้วย ราคาที่พักก็สบายกระเป๋ามากๆ เลยค่ะ

 

 

 

5. ตลาดมืดเวียงจันทน์

 

 

      ได้อาบน้ำสบายๆ นอนชิลพักสัก สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ก็ได้เวลาออกไปหาของกินกันค่ะ เราโบกรถสกายแลปเหมือนเดิม คราวนี้ไปกันที่ ตลาดมืดเวียงจันทน์ ริมแม่น้ำโขง (Vientiane Night Market)  ช่วงเวลานี้ก็ประมาณ 4 โมงกว่า อากาศกำลังดี เรานั่งรถเลาะเลียบริมแม่น้ำโขงไปไม่นานก็ถึงตลาดแล้วค่ะ ค่ารถก็ราคาเบาๆ 25,000 กีบ (ประมาณ 50 บาท) 

 


      ร้านรวงกำลังเริ่มตั้ง เต็นท์สีแดงที่เป็นลักษณ์ค่อยๆ เริ่มกางไล่เรียงกันไป เราแวะไปหาของอร่อยกินเติมพลังกันสักหน่อย เดินหาร้านไปๆ มาๆ ก็มาลงเอยที่ ร้าน 3 เอื้อยน้อง หน้าวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ในซอยตรงข้ามกับตลาดมืดค่ะ แต่ละเมนูของร้านแน่นอนว่า คนไทยอย่างเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ทั้งแนวๆ สไตล์อาหารอีสาน และ เฝอ ต่างๆ แป๊ปเดียวอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ รีวิวคืออร่อยทุกอย่าง! แถมราคาไม่แรงด้วย มากัน 4 คน หารกันคนละไม่ถึง 100 บาท ถือว่ามื้อนี้เราทำได้ดีเลยล่ะค่ะ! ลองมาตามชิมกันได้น้า...

 


      หลังจากอิ่มกันแล้ว ไปเดินเล่นที่ตลาดกันสักหน่อย ตอนนี้ร้านเริ่มเยอะแล้วค่ะ บรรยากาศคึกคักมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านเคสใส่มือถือ สตรีทฟู้ดเล็กๆ เป็นบูธๆ แต่ไม่เยอะเท่าตลาดนัดกลางคืนในร้านเรา ตั้งเรียงรายกันไป เราเดินเล่นอยู่พักนึง ก็นึกได้ว่าต้องไปต่อแล้ว เพราะมีนัดกับน้ำพุเจ้าประจำที่จะมาอวดโฉมตอนหัวค่ำที่ ประตูไซ ค่ะ

 

 


6. ประตูไซ (ประตูชัย) เวียงจันทน์
การแสดงน้ำพุ ประกอบดนตรี

 

 

      ปิดท้ายวันของเรากันที่ ประตูไซ หรือ ประตูชัย เวียงจันทน์ แลนด์มาร์คสำคัญที่ต้องแวะมาชมค่ะ โดยที่นี่สร้างขึ้นแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2511 เป็นอนุสาวรีย์ใจกลางเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารผู้สละชีวิตในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 และการกอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศส 

 

 

      ความโดดเด่นของประตูไซมาจากสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นศิลปะแบบล้านช้าง ผสมผสานอิทธิพลที่ได้รับมาจาก ประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง รวมถึงบริเวณรอบๆ ที่จัดเป็นสวนสวย ทำให้ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะแยะเลยค่ะ 

 

 

     หลังจากฟ้าเริ่มมืดลงไม่นาน แสงไฟจากประตูไซเริ่มสว่างขึ้น พร้อมๆ กับเวลาที่ทุกคนรอยคอย นั่นก็คือ การแสดงน้ำพุ ประกอบดนตรี นั่นเอง น้ำพุพร้อมแสงไฟพวยพุ่งขึ้นมาในอากาศ พร้อมๆ กับเสียงดนตรีเคล้าคลอไป สร้างความตื่นเต้นและสนุกสนานมากๆ 

 

 

     เราเห็นเด็กๆ หัวเราะชอบใจ วิ่งรอบน้ำพุอย่างสนุกสนาน ส่วนผู้ใหญ่ก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ถ่ายคลิปสวยๆ ของน้ำพุหน้าประตูไซแห่งนี้ค่ะ การแสดงนี้ อลังการตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิด สร้างสีสันยามค่ำคืนของเวียงจันทน์ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา และดูเพลิดเพลินมากๆ เลยทีเดียว 

 

 

 

      เราจบคืนของวันนี้กันที่นี่ แล้วกลับที่พักไปพักผ่อน เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกันการตื่นสายแบบสุดๆ เพราะเหนื่อยล้าจากการตะลุยเที่ยวเมื่อวานกันทั่วเมืองเวียงจันทน์ วันนี้หลังจากอาหารเช้าที่สายเอามากๆ เราไปกันต่อที่ วัดองค์ตื้อ ซึ่งเดินไปไม่ไกลจากที่พักของเราค่ะ

 

7. วัดองค์ตื้อ 

 


      วัดองค์ตื้อ (Wat Ong Teu) แต่เดิมมีชื่อว่า วัดสีภูมิ ค่ะ จากที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทน์ โปรดให้สร้างวัดครอบวัดเดิมเพื่อประดิษฐาน พระเจ้าองค์ตื้อ และโปรดให้หล่อพร้อมกับประพุทธรูปอื่นอีกรวม 4 องค์ คือ พระองค์ตื้อ พระสุก พระใส พระเสริม จึงเรียกว่า "วัดองค์ตื้อ" มาจนถถึงปัจจุบันนี้ค่ะ

 

 

      โดย พระเจ้าองค์ตื้อ ถือเป็นรูปแบบเฉพาะของพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง ที่งดงามมากๆ เราเข้าไปด้านในและไหว้ขอพร ทำบุญกันสักหน่อย ก่อนจะเดินทางออกมาเวียงจันทน์ในวันนี้ค่ะ

 

     สำหรับเราที่เพิ่งเคยมาเที่ยวลาวเป็นครั้งแรก เวียงจันทน์ ก็นับว่าเป็นเมืองที่เที่ยวง่ายค่ะ ผู้คนน่ารัก อัธยาศัยดี พร้อมให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และที่สำคัญไม่โกงราคา ทั้ง ร้านอาหาร ค่าที่พัก และค่ารถต่างๆ ด้วย ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ เราก็จะอยากอยู่เที่ยวต่อไปอีกสัก 2-3 วันเลยค่ะ...

     ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ ตามเราไป นั่งรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน เที่ยวหลวงพระบาง กันต่อค่ะ แล้วเราจะมาอัปเดตการเดินทางกันต่อ อดใจรออีกไม่นาน!