เที่ยวฮ่องกง 6 วัน 5 คืน อัปเดต 2023 ที่เที่ยวใหม่ หลังโควิด ที่ไหนต้องมา!
ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม แล้วจัดกระเป๋าเตรียมบินไปเที่ยว ฮ่องกง กัน เพราะฮ่องกงเปิดให้เที่ยวแล้วจ้า ที่สำคัญไม่ต้องกรอกอะไรวุ่นวายด้วย แค่มีพาสปอร์ตเล่มเดียวก็เดินทางได้เลย แต่ๆ หลายคนอาจจะลังเลว่าหลังโควิดจะไปเที่ยวไหนดี ที่ไหนเปลี่ยนไปยังไงบ้าง งั้นมาถูกที่แล้วค่า เพราะเราจะพาทุกคนไป อัปเดตที่เที่ยวปี 2023 กันค่า จัดเต็มไปเลย 6 วัน 5 คืน เที่ยวแน่นๆ เน้นๆ ทัวร์เกาะฮ่องกง
อัปเดตพิกัด ที่เที่ยวฮ่องกง หลังโควิด
ปี 2023 ที่ไหนต้องไป มาดูเลย
แจกแผนเที่ยว ฮ่องกง 6 วัน 5 คืน
Day 1
- Peak Tram
- SkyTerrace 428
Day 2
- Tsz Shan Monastery
- สำนักชี ฉีหลิน (Chi Lin Nunnery)
- สวนหนานเหลียน (Nan Lian Garden)
- วัดหว่องไทซิน (Wong Tai Sin Temple)
- Harbour City
Day 3
- เกาะเฉิ่งเจ้า (Cheung Chau)
- วัดยุกฮุย (วัดปักไท)
- ตลาด Central Market
Day 4
- K11 MUSEA และ อเวนิวออฟสตาร์
- พิพิธภัณฑ์พระราชวังฮ่องกง
- M+
- SerendiCity
Day 5
- Arte M
- Disneyland
Day 6
- Goodbye Hong Kong
Day 1 : Hello Hong Kong
หลังจากที่ฮ่องกงเปิดให้เที่ยวกันได้ไม่นาน ก็ได้เวลาที่เราจะกลับไปเยือนกันแล้วค่ะ ครั้งนี้เราไปแบบแน่นๆ เต็มๆ 6 วัน 5 คืน กันเลยทีเดียว พร้อมทั้งมาอัปเดตที่เที่ยวเก่า ที่เที่ยวเปิดใหม่ หลังช่วงโควิดที่ปิดไปด้วย บอกเลยว่าเตรียมกล้อง เตรียมชุด ให้พร้อมแล้วออกเดินทางตามเรามาได้เลยค่า งานนี้เน้นๆ แน่นๆ เอาใจคนรักฮ่องกงอย่างแน่นอน
เปิดมาวันแรกเราออกเดินทางกันแต่เช้ากันเลยทีเดียวค่ะ โดยทริปนี้เราจะนั่งสายบินที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง Cathay Pacific นั่นเอง ได้ทั้งน้ำหนักกระเป๋าพร้อมทั้งอาหารบนเครื่องแบบจัดเต็ม นั่งดูหนังบนเครื่องเพลินๆ จบไปประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงเกาะฮ่องกงแล้วค่ะ และช่วงบ่ายๆ พอดีด้วย แต่ก่อนจะเที่ยวกันนั้นก็ต้องเอากระเป๋าไปเก็บ ก่อนที่เราจะออกช้อป จะได้เดินสบายๆ ชิลๆ กันค่ะ
ครั้งนี้เรามานอนกันที่ฝั่งฮ่องกง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ใกล้แหล่งช้อปเท่าไหร แต่เรื่องของความสะดวกสบาย ความกว้างขวางก็ต้องยกให้เลยค่ะ โรงแรมนี้มีชื่อว่า Hotel Alexandra อยู่ติดกับสถานี MTR Fortress Hill Station เดินทางสะดวกมากๆ และรอบๆ ก็มีร้านอาหาร ร้านขนมปังมากมายให้เราได้เลือกทานค่ะ แนะนำว่าเป็นอีกแห่งที่น่าไปพักมากๆ ค่ะ
หลังจากเข้าเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็อย่ารอช้ากันเลยค่ะ เราจะให้วันหนึ่งเสียเปล่าไปไม่ได้ ไปชมวิวสวยๆ ของเมืองฮ่องกงกันที่ SkyTerrace 428 โดยการนั่ง Peak Tram ไปกันดีกว่า ซึ่งต้องบอกก่อนว่าที่นี่มีการปรับปรุงใหม่ด้วยน้า เป็นรถรางรุ่นใหม่และมีสถานีที่ปรับโฉมใหม่มาด้วย บอกเลยว่าชมวิวได้สวยกว่าเดิมแน่นอนค่า
ตัวของรถรางนั้นจะจะมีการเปิดด้านบน ด้านข้างให้เป็นกระจกใสทั้งหมด เลยทำให้เรามองวิวได้รอบทิศเลยค่ะ นั่งจากด้านล่างขึ้นไปด้านบนก็ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 15 นาทีได้ ก็ถึงแล้วค่ะ แต่แนะนำว่าใครอยากเห็นวิวชัดๆ มาในช่วงกลางวันจะดีกว่าค่ะ เพราะถ้ามาตอนกลางคืนวิวของสองข้างทางจะมองไม่ชัดเท่าไหร งั้นเราพุ่งตัวไปที่ SkyTerrace 428 กันเลย
โดย SkyTerrace 428 นั้น จะเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในฮ่องกง โดยเราจะเห็นวิวได้แบบรอบด้าน พาโนราม่า 360 องศาทั่วเกาะฮ่องกงเลยทีเดียวค่ะ เรียกได้ว่าเป็นการต้อนรับการกลับมาฮ่องกงได้แบบสวยงดงามมากๆ บอกเลยว่าดื่มด่ำกับวิวตรงหน้าแบบสุดๆ ยกให้เป็นพิกัดที่ต้องมาเลยค่ะ
ก่อนท้องจะร้องไปมากกว่านี้ เราก็ต้องไปทานอาหารอร่อยๆ สักหน่อย เปิดกันที่ ร้าน Chinesology ที่เป็นอาหารจีนสไตล์ฟิวชั่นหน่อยๆ ผ่านรูปแบบการนําเสนอ แนวคิด เรื่องราวต่างๆ มากมาย ก่อนจะออกมาเป็นอาหารในแต่ละจานค่ะ ให้อารมณ์แบบ chef’s table แบบนั้นเลย ใครชอบอาหารสวยๆ แบบไม่เหมือนใคร ต้องมาลองค่ะ อย่างจานที่พิเศษของที่นี่ก็คือ Caramelized Lotus Root ที่ว้าวตั้งแต่รูปร่างแล้ว ซึ่งตัวของรสชาติเองก็ไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ
จบไปแล้วสำหรับวันแรก ซึ่งเป็นการเริ่มต้นทริปได้ประทับใจอย่างมากจริงๆ บอกเลยว่าแอบลุ้นวันที่สองแล้วน้า ว่าต้องทำให้เราคิดถึงฮ่องกงมากอย่างแน่นอน โดยวันที่สองนั้นเราจะไปทัวร์วัดกันค่ะ มาเริ่มกันที่สถานที่แรกที่แบบอันซีนมากๆ ก่อน เรียกได้ว่าต้องจองกันข้ามเดือนเลยนะ ถึงจะมาได้
================
Day 2 : ทัวร์ไหว้พระ สักการะ วัดดัง
Tsz Shan Monastery สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเงียบสงบ โดยเป็นที่ตั้งขององค์เจ้าแม่กวนอิมที่มีความสูงถึง 76 เมตร และใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งวัดนี้มีชื่อเรียกว่า วัดเจ้าแม่กวนอิม ชีซ้าน หรือที่คนฮ่องกงเรียกว่า ฉี่ซ้านจี๋ สาเหตุที่สถานที่นี้ Unseen อย่างมากเพราะมีการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวันนั่นเองค่ะ และปกติก็จะไม่สามารถถ่ายรูปด้านในได้ แต่เรามากับการท่องเที่ยวฮ่องกง เลยได้ภาพสวยๆ ขององค์พระมาฝากสายบุญกัน ยิ่งได้เข้าชมด้านในแล้ว ก็เข้าใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงอันซีน เพราะเต็มไปด้วยความสวยงามและความเงียบสงบอย่างมากนั่นเอง
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ วัดซีซ่าน Tsz Shan Monastery ที่เที่ยวฮ่องกง วัดเจ้าแม่กวนอิม สุดอันซีน
เราไปต่อกันเลยที่ สำนักชี ฉีหลิน (Chi Lin Nunnery) และ สวนหนานเหลียน (Nan Lian Garden) ซึ่งสำนักชีฉีหลินนั้น เป็นสถานที่อยู่ใจกลางเมือง และเป็นหนึ่งในศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของเมืองค่ะ อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมสวยๆ ด้วย โดยสถานที่แห่งนี้เป็นแห่งแรกในฮ่องกงที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวเลยค่ะ ทำให้เห็นถึงความสวยงามและเทคนิคการออกแบบตามลักษณะราชวงศ์ถังแบบดั้งเดิม ในช่วงปี ค.ศ. 618-907 นั่นเอง แต่เสียดายที่เราเก็บภาพด้านในมาไม่ได้ ใครอยากเข้าไปชม ก็ต้องไม่พลาดแล้วนะคะ ส่วนของสวนหนานเหลียนนั้น ก็มีทั้งวิวทิวทัศน์อันสวยงาม รวมไปถึงมีการจัดนิทรรศการถาวรหลายอย่างด้วยกันค่ะ
และต้องแวะมาทานอาหารที่นี่ด้วยน้า กับ Chilin Vegetarian ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในสวน และเป็นส่วนหนึ่งของสํานักชี โดยความพิเศษก็คือที่นี่จะเสิรฟ์อาหารจีนแบบมังสวิรัติเพื่อสุขภาพเท่านั้นค่ะ เน้นผักและผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งบรรยากาศของร้านจะเป็นแบบเซนด้วย โดยอาหารของร้านจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารจีนมังสวิรัติที่ใช้น้ำมัน เกลือ และน้ำตาลน้อย และปราศจากผงชูรส รวมถึงคลอเลสเตอรอลนั่นเอง ใครแวะมาเที่ยวที่นี่ ก็ควรจะต้องมาลองทานกันดูนะคะ
เสร็จจากนี้ ก็ถึงเวลาที่เราจะไป วัดชื่อดังของ เกาะฮ่องกง อย่าง วัดหว่องไทซิน (Wong Tai Sin Temple) วัดชื่อดังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยหรืออีกชื่อก็คือ หวังต้าเซียน ที่มีชื่อเสียงในด้านการไหว้ขอพรค่ะ โดยวัดแห่งนี้ก่อตั้งตั้งแต่ปีค.ศ. 1921 มีสถาปัตยกรรมการตกแต่งผสมผสานอิทธิผลมาจากลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื๊อเอาไว้ด้วยกัน โดยเราจะต้องมากราบไหว้เทพเจ้าหว่องไท่ซิน (เทพเจ้าแห่งความอมตะ) นั่นเองค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ วัดหว่องไท่ซิน วัดหวังต้าเซียน พิกัดไหว้พระ ฮ่องกง ชื่อดัง
แต่ในช่วงที่ฮ่องกงปิดเมืองไปนั้น ทางวัดก็ได้มีการสร้างพิกัดไหว้ขอพรใหม่ขึ้นมา โดยจะเน้นในเรื่องของโชคลาภ ซึ่งเราจะต้องซื้อแผ่นทองเพื่อเข้าไปแปะสักการะองค์พระด้านในนั่นเองค่ะ จะมีหลายราคาด้วยกัน แล้วแต่เราจะเลือกได้เลย และอีกสิ่งหนึ่งเวลามาที่หวังต้าเซียน ก็คือจะต้องลงไปด้านล่างไปไหว้ขอพรองค์พระที่เป็นแหล่งรวมเทพด้วยค่ะ
เราจะต้องซื้อธูปสามดอกไปสักการะพระสามองค์ด้วยกันค่ะ องค์แรกคือ เต๋าโหม่ว หรือ พระโพธิสัตว์กวนอิม องค์ที่สองคือ เทพเจ้าประจำปีนั้นๆ อย่างปีนี้ 2023 ก็คือ ปีเถาะ และสุดท้ายคือ เทพเจ้าประจำปีเกิดของเราค่ะ โดยดูได้จากตารางปีเกิดที่ตั้งเอาไว้รอบๆ เลยค่ะ ที่สำคัญเวลาปักธูปลงไป จะต้องใช้มือซ้ายเท่านั้นนะคะ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนิยมมาไหว้กันทุกปี เพื่อความเป็นสิริมงคลนั่นเอง
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้นทางวัดยังมี พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวประวัติความเป็นมาของวัดอีกด้วยค่ะ ซึ่งกำลังจะเปิดให้ได้เข้าชมในเร็วๆ นี้ ภายในก็จะเล่าเรื่องราวผ่านสื่อเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย เราเองก็ได้โปสการ์ดน่ารักๆ ที่สามารถทำเองได้จากตู้มาเป็นของที่ระลึกกลับไปอีกด้วยค่ะ
ก่อนจะหมดวันเราก็ต้องไปใช้เงินกันสักหน่อย จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ก็คือ Harbour City ที่มี ลานชมวิว Ocean Terminal Deck ให้เราได้แชะภาพสวยๆ กันด้วยค่ะ อย่างที่รู้กันว่าห้างสรรพสินค้า Harbour City นั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำของฮ่องกง ริมอ่าววิคตอเรีย ที่รวบรวมร้านค้าเอาไว้มากมายนั่นเองค่ะ รวมทั้งร้านอาหารมากถึง 11 แห่ง ที่สามารถมองเห็นวิวของท่าเรือได้แบบเต็มๆ เลยทีเดียวค่ะ
ซึ่งเราก็ได้มาทานอาหารค่ำกันที่ร้าน 818 The Seafood เป็นร้านอาหารซีฟู้ดที่มีวิวสวยๆ ของอ่าววิคตอเรียนั่นเอง แต่ร้านนี้อาหารจะออกแนวสไตล์สิงคโปร์หน่อยๆ ค่ะ เพราะเชฟเป็นคนสิงคโปร์นั่นเอง เลยจะได้ลิ้มลองรสชาติที่ต่างออกไปจากอาหารฮ่องกง รวมไปถึงดีไซน์การตกแต่งของร้านก็สวยไม่ธรรมดาด้วยนะคะ เป็นบรรยากาศโรแมนติกที่อยากให้มาลองกันดูเลยค่ะ
================
Day 3 : ตะลุยเที่ยว เกาะเฉิ่งเจ้า
เริ่มเช้าวันที่สามของทริปนี้ด้วยการนั่งเรือไปเที่ยวที่ เกาะเฉิ่งเจ้า (Cheung Chau) กันค่ะ โดยเกาะเฉิ่งเจ้า หรือ เกาะยาว แห่งนี้ เป็นเกาะขนาดเล็กๆ ที่มีรูปร่างคล้ายกับดัมเบลล์ มีพื้นที่ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร และมีไฮไลท์อยู่ที่ทางเดินริมน้ำ ที่สามารถมองเห็นเรือประมงจอดเรียงรายอยู่ริมชายฝั่งนั่นเองค่ะ รวมไปถึงมีร้านอาหารทะเล อยู่เต็มพื้นที่ และยังมีเทศกาล Cheung Chau Bun ชื่อดังอีกด้วยค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ One Day Trip เที่ยว Cheung Chau เกาะเฉิ่งเจ้า
วันนี้เราจะเริ่มทริปด้วยการเดินขึ้นเขากันค่ะ เพราะเราจะไปกันที่ จุดชมวิวเฉิ่งเจ้า หนึ่งในกิจกรรมห้ามพลาดของที่นี่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพื่อขึ้นไปทางเหนือของเกาะเฉิ่งเจ้านั่นเอง โดยวิวตรงหน้าต้องบอกว่าคุ้มค่าค่ะ เพราะเราจะได้เห็นวิวแบบพาโนราม่า และเห็นอีกด้านหนึ่งของเกาะ Lamma และสะพาน Tsing Ma สะพานแขวนชื่อดังอีกด้วย และถ้าใครไปช่วงที่ฟ้าเปิดสวยๆ บอกเลยว่ารูปเพียบแน่นอนค่ะ แต่แนะนำว่าให้พกน้ำ พกยาดมไปก็ดีนะคะ เพราะทางขึ้นไม่ลำบาก แต่ชันพอสมควรเลยค่ะ
พอลงจากจุดชมวิว เราก็ไปไหว้พระกันที่ วัดยุกฮุย (วัดปักไท) เป็นวัดที่อุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในราชวงศ์เต๋ากันสักหน่อยค่ะ ซึ่งภายในจะจัดแสดงศิลปวัตถุสมัยราชวงศ์ชิงและซ่ง รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานเทศกาล Cheung Chau Bun ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นกิจกรรมระดับชาติอันดับที่ 3 ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมฮ่องกงอีกด้วย โดยในงานนั้นจะมีการแข่งขันปีนหอคอยขนมปัง เพื่อเก็บขนมปังให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นั่นเอง
มาที่เฉิ่งเจ้า ก็ต้องมาลองอาหารขึ้นชื่อของที่นี่กันด้วยค่ะ ตั้งแต่ อาหารทะเล บอกเลยว่าร้านไหนก็อร่อย รสชาติถูกปากคนไทยแน่นอน รวมไปถึง Kwok Kam Kee ซาลาเปานำโชค ที่มีไส้หวาน พร้อมแสตมป์สัญลักษณ์อักษรจีนสีแดง ที่แปลว่า ปลอดภัย และ ลูกชิ้นปลา Kam Wing Tai ของว่างริมทางที่คนฮ่องกงและคนจีนตอนใต้ชื่นชอบกัน นอกจากนี้ก็มีคาเฟ่และร้านอาหารมาก อยู่ตามซอกซอยให้เราได้ถ่ายรูปเช็คอินกันอีกด้วยค่ะ
กว่าจะทัวร์ที่เฉิ่งเจ้าเสร็จ ก็เรียกได้ว่าแทบจะทั้งวันแล้วค่ะ แต่เรายังจะเที่ยวกันต่อค่ะ ฮ่าๆๆๆ ใครจะเสียเวลากันล่ะ เราไปเดินช้อปกันที่ ตลาด Central Market เมื่อก่อนนั้นที่นี่เคยเป็นตลาดสดแห่งแรก สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1842 ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม และได้รับการฟื้นฟูให้กลายมาเป็นศูนย์กลางชุมชน เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้า มีร้านอาหารมากมาย รวมถึงมีพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ด้วยค่ะ และแน่นอนว่ากลิ่นอายของความเก่าและใหม่ก็ผสมผสานได้อย่างลงตัว และทำให้ที่นี่กลายมาเป็นจุดหมายที่น่าไปเยือนอีกแห่งของฮ่องกงเช่นกัน
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ Central Market ที่เที่ยวฮ่องกง ตลาดช้อปปิ้ง สุดคลาสสิค
================
Day 4 : ชมศิลปะ ฝั่งเกาะฮ่องกง
ผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่งกับทริปหลังฮ่องกงเปิดเมือง วันนี้เราก็จะมาอัปเดตสถานที่เที่ยวใหม่ เอาใจสายช้อปกันบ้าง นั่นก็คือ K11 MUSEA ที่เป็นที่ตั้งของห้างใหม่อันทันสมัยและมี อเวนิวออฟสตาร์ ชื่อดังของฮ่องกงนี่เองค่ะ โดยอเวนิวออฟสตาร์นั้นจะอยู่บนทางเดินริมอ่าววิคตอเรีย เมื่อก่อนนั้นจะตั้งอยู่บนพื้น แต่ตอนนี้มาอยู่บริเวณเสาด้านบนแทน อีกทั้งยังมีฉากหลังเป็นตึกสูงของฝั่งเกาะฮ่องกงอีกด้วย
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ K11 MUSEA ที่เที่ยวฮ่องกง เปิดใหม่ 2023 สายช้อปต้องไม่พลาด
ส่วนของห้าง K11 MUSEA นั้น ก็จะเป็นห้างแนวใหม่ที่รวมพิพิธภัณฑ์และร้านค้าเอาไว้ด้วยกัน เป็น Art mall ที่มีทั้งแบรนด์ระดับโลกและสตรีทแบรนด์ใหม่ๆ ภายในก็จะมีการซ่อนศิลปะต่างๆ เอาไว้ตามห้างฯ มากมาย รวมถึงมีส่วนของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะของ K11 Musea เองด้วยค่ะ เดินช้อปเพลินๆ ชมศิลปะเพลินๆ ได้ทั้งวันเลยทีเดียวค่า
หลังจากเดินช้อปไปเบาๆ ก็ได้เวลาที่เราจะไปชมศิลปะงามๆ กันแบบเต็มๆ แล้วค่า เพราะเราจะไปที่ พิพิธภัณฑ์พระราชวังฮ่องกง หรือ Hong Kong Palace Museum ที่เปิดตัวไปเมื่อ 3 ก.ค. ปี 2022 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ โดยจะเป็นแหล่งรวมขุมทรัพย์ของโบราณวัตถุหายากต่างๆ มีผลงานศิลปะระดับโลกกว่า 900 ชิ้น จากพิพิธภัณฑ์พระราชวังในกรุงปักกิ่ง (Palace Museum in Beijing) ค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ พิพิธภัณฑ์พระราชวังฮ่องกง ชมศิลปะล้ำค่ากว่าพันชิ้น
อย่ารอช้าไปต่อกันที่ M+ จุดชมศิลปะอีกแห่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยจะเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมภาพร่วมสมัยระดับโลกแห่งแรกในเอเชีย ที่เพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2021 นี่เอง มีการจัดแสดงคอลเลกชันพิเศษของวัฒนธรรมภาพในช่วงศตวรรษที่ 20 และ 21 อีกทั้งมีไฮไลท์อยู่ที่ LED facade หรือ จอหน้าอาคารขนาด 65x110 เมตร ที่สามารถมองเห็นได้จากอีกฝั่งของอ่าววิคตอเรียนั่นเองค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ M+ ที่เที่ยวฮ่องกง พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เปิดใหม่ แห่ง ย่านเกาลูนตะวันตก
และถ้าใครที่รู้จัก Yayoi Kusama จะต้องอยากมาที่นี่แน่นอน เพราะในช่วงนี้ไปจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 2566 นั้น ทาง M+ มีการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปี ด้วยนิทรรศการพิเศษของ Yayoi Kusama : 1945 to Now ซึ่งเป็นนิทรรศการรำลึกถืงผลงานเก่าๆ ที่ใหญ่ที่สุดของ Yayoi Kusama ในเอเชียเลยค่ะ (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งมีผลงานให้ชมมากกว่า 200 ชิ้นด้วยกัน
และสุดท้ายเราก็จบวันด้วยการไปชม SerendiCity ซึ่งเป็นอีกนิทรรศการศิลปะที่มีการนำเสนอการจำลองแสงเหนือมานั่นเองค่ะ ซึ่งเราจะได้เห็นแสงสีเขียวฟ้าฉายออกมาเต็มบริเวณลานกว้างเลย สามารถนอนชมได้ด้วยค่ะ เห็นได้จากการที่มีคนนำเสื่อไปปู หรือแม้กระทั่งตากล้องมากมายที่ต่างรอแชะภาพสวยๆ กัน ดูกันเพลินๆ ไปอีกแบบเลยทีเดียว
================
Day 5 : ปราสาทดิสนีย์โฉมใหม่
วันนี้เป็นวันเที่ยวสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เช้าๆ แบบนี้ แต่งตัวจัดเต็มพร้อมถ่ายรูปเลยค่ะ พิกัดแรกในวันนี้ก็คือ Arte M ที่อยู่ภายใน K11 Atelier นั่นเองค่ะ ใช่ค่ะ ที่นี่ก็คือ นิทรรศการศิลปะเช่นกัน เรียกได้ว่ามีความเหมือนกับ Teamlab ที่เรารู้จักกันดีนี่เอง เพราะนิทรรศการนี้จะนำเสนอในรูปแบบ Immersive ซึ่งเลือกที่เป็นไฮไลท์ๆ มาจาก Arte Museum ของ D’strict ประเทศเกาหลีใต้นั่นเองค่ะ เรียกได้ว่าเหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปกับงานศิลปะมากจริงๆ
พิกัดสุดท้ายของทริปนี้เราจะไปหยุดกันที่ Disneyland ดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนค่ะ ซึ่งเราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ไปจนถึงปิดกันเลย โดยในระหว่างที่ปิดเมืองไปทางดิสนีย์ฮ่องกงก็ได้สร้าง ปราสาทหลังใหม่ คาสเซิล ออฟ เมจิคอล ดรีมส์ (Castle of Magical Dreams) โดยเปิดตัวไปเมื่อปี 2020 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของเหล่าเจ้าหญิงและราชินีดิสนีย์ผู้เป็นที่รักทั้ง 13 องค์ ที่เติบโตมาพร้อมๆ กับแฟนดิสนีย์นั่นเองค่ะ โดยจะสามารถมองเห็นรายละเอียดของเจ้าหญิงแต่ละองค์ได้จากสัญลักษณ์ประจำตัว สีสัน และรูปแบบต่างๆ บนตัวอาคารปราสาทแห่งนี้เลย
รวมไปถึง Follow Your Dreams การแสดงดนตรีสดกลางแจ้ง ความยาวกว่า 20 นาที โดยเราจะได้ชมเหล่าตัวการ์ตูนมาเต้นกันอย่างสนุกสนาน ที่บริเวณด้านหน้าของ Castle of Magical Dreams อีกทั้งไฮไลท์ของดิสนีย์แลนด์อย่าง Momentous Nighttime Spectacular การแสดงแสงสีเสียงยามค่ำคืน ด้วยการฉายภาพขนาดใหญ่ลงบนจอม่านน้ำ ที่อยู่บนปราสาทดีสนีย์ รวมไปถึงแสงสีเสียง เลเซอร์ การแสดงน้ำพุ ดอกไม้ไฟต่างๆ บอกเลยว่ายิ่งใหญ่อลังการสมเป็นดิสนีย์จริงๆ
และสิ่งที่สำคัญไม่ควรพลาดก็คือการอัปเดตเครื่องเล่นใหม่นั่นเอง อย่าง Ant-Man and The Wasp , Iron Man Experience , Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars & Mystic Manor เป็นต้น ใครอยากเล่นก็ต้องไม่พลาดแล้วน้า มาดิสนีย์แล้ว ไม่มีคำว่าไม่คุ้ม เพราะนอกจากเราจะได้ย้อนวัยไปสนุกกับตัวการ์ตูน เครื่องเล่นต่างๆ แล้ว เราก็ยังได้เลือกซื้อของน่ารักๆ จากคาแรกเตอร์ต่างๆ ติดไม้ติดมือกันกลับไปด้วย
Day 6 : Goodbye Hong Kong
และแล้วก็ได้เวลาโบกมือลา เกาะฮ่องกง แห่งนี้ กันแล้วค่ะ บอกเลยว่าเป็นการกลับมาในรอบหลายปีหลังจากโควิดนั้น เป็นการมาเที่ยวที่คุ้มค่ามากๆ และเต็มอิ่มสุดๆ เอาแบบให้หายคิดถึงกันไปเลยทีเดียว ยิ่งช่วงนี้ทางฮ่องกง มีโปรโมชั่นต่างๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบจัดเต็มอีกด้วย ใครพลาดช่วงนี้ไป บอกเลยว่าจะเสียใจน้า
================
🙏 ขอขอบคุณทริปดีๆ จาก การท่องเที่ยวฮ่องกง