รีเซต

พิธีฝังศพลอยฟ้า Hanging Coffins of Sagada ฟิลิปปินส์ ส่งดวงวิญญาณสู่สวรรค์

พิธีฝังศพลอยฟ้า Hanging Coffins of Sagada ฟิลิปปินส์ ส่งดวงวิญญาณสู่สวรรค์
แมวหง่าว
30 มีนาคม 2563 ( 17:45 )
4.1K
6

     เมื่อกล่าวถึงการฝังศพแล้ว ต่างพื้นที่ ต่างวัฒนธรรมก็ล้วนมีพิธีกรรมที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังศพที่ยิ่งใหญ่อย่างพีระมิดในแบบอียิปต์ หรือหมู่บ้านเล็กๆ ในอินโดนีเซียที่จะขุดเอาศพของคนในครอบครัวขึ้นมาทุกปี ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนที่ยังอยู่ต้องการทำให้คนที่ล่วงลับทั้งสิ้น สำหรับอีกพิธีที่น่าสนใจในครั้งนี้ เราจะพาไปที่หมู่บ้าน ซากาดา (Sagada) หมู่บ้านเล็กในหุบเขาทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ ที่ปัจจุบันเขายังคงไว้ซึ่งธรรมเนียมการฝังศพแบบดั้งเดิม เรียกว่า Hanging Coffins of Sagada นั่นคือการนำไป "แขวน" ไว้กับภูเขา ตั้งไว้เคียงข้างหน้าผาสูงชันแทนที่จะขุดหลุมฝังลงไปในใต้ดิน

 

 

     ชาวซากาดานั้นสืบทอดพิธีนี้มาร่วม 2,000 ปีแล้ว โลงศพบางโลงอาจมีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งพอเริ่มเก่า และผุพังมากเข้าโลงก็จะแตกเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ปล่อยให้ซากภายในร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสาเหตุให้ชาวเมืองหยุดพิธีกรรมนี้แต่อย่างใด เพราะพวกเขาเชื่อว่ายิ่งแขวนโลงศพไว้สูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้ตายนั้นเข้าใกล้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษได้มากที่สุด

 

     หากมองตามความเป็นจริงแล้ว การนำโลงศพไปแขวนไว้สูงๆ นั้นก็เป็นการเก็บรักษาที่ดีอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะหากนำไปฝังตามปกติแล้วก็มีโอกาสที่จะมีสัตว์ขุดเอาศพขึ้นมากินได้ และอีกสาเหตุหลักๆ ก็คือในสมัยก่อนบริเวณแถบนี้ยังมีการสู้รบกับเผ่าตรงข้าม อีกฝ่ายมักจะเข้ามาตัดหัวของศพเพื่อเอากลับไปเป็นถ้วยรางวัล พวกเขาจึงนำโลงศพไปแขวนข้างหน้าผาเสียเลย

 

 

     โลงศพนั้นจะถูกนำไปแขวน หรือตอกอย่างแน่นหนาเข้ากับหิน โดยขนาดของโลงจะต้องไม่เกิน 1 เมตรเท่านั้น โดยทำการจัดท่าศพในลักษณะนอนกอดเข่า ให้เหมือนกับท่าของเด็กทารกเมื่อตอนอยู่ในครรภ์มารดา เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนที่จากไปแล้วก็ควรจะไปในท่าเหมือนตอนที่มายังโลกนี้เช่นกัน ซึ่งจะต้องทำการทุบตามกระดูกข้อต่อของศพด้วย เพื่อจะได้ขยับท่าทางได้ง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ก็เริ่มมีการใช้โลงศพที่มีขนาดยาวขึ้นเป็น 2 เมตรแล้ว เพราะบางครั้งลูกหลานก็ทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาทุบกระดูกของญาติผู้ใหญ่เหมือนกัน

 

 

     อีกอย่างคือ เมื่อต้องนำไปอยู่ที่สูงๆ พวกเขาก็ต้องป้องกันไม่ให้ของเหลวจากศพที่กำลังเน่าเปื่อยไหลหยดลงมาเบื้องล่าง ด้วยการนำศพไปรมควันก่อนที่จะนำเข้าโลง เมื่อศพวิความแห้งก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นได้ เป็นหลักการที่ใกล้เคียงกับการทำมัมมี่นั่นเอง

 

     ความที่มีขั้นตอนเยอะขนาดนี้ ชาวซากาดารุ่นใหม่จึงเริ่มที่จะนิยมพิธีฝังศพตามแบบสมัยใหม่กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะมีขั้นตอนการเตรียมศพที่ง่ายกว่าแล้ว พวกเขายังสามารถไปเยือนหลุมศพได้ง่ายกว่าด้วย ไม่ต้องไปแหงนหน้ามองที่หน้าผานั่นเอง

===============