ประวัติ ประเทศสหรัฐอเมริกา USA ดินแดนแห่งเสรีภาพ มหาอำนาจตะวันตก
สหรัฐอเมริกา หนึ่งในประเทศที่แม้จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีอย่างประเทศใหญ่อื่นๆ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้อเมริกาเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่มากทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ ครั้งนี้เราจะพาย้อนอดีตไปซักหน่อย ชวนไปดูกันว่าก่อนจะมาถึงทุกวันนี้ที่นี่ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
- 21 ที่เที่ยว อเมริกา สวยขั้นเทพ ไปเมื่อไหร่ ต้องไม่พลาด
- 13 สถานที่ ผีเฮี้ยน หลอนที่สุดในอเมริกา ล่าท้าผีต้องไป !
ข้อมูลเบื้องต้น สหรัฐอเมริกา (United States of America)
สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 หรือ 4 ของโลก (18 เท่าของพื้นที่ประเทศไทย) การจะเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศทางฝั่งตะวันตก ไปฝั่งตะวันออกต้องใช้เวลาบินถึง 5 ชั่วโมง ด้านทิศเหนือของประเทศติดกับแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก ทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก และทิศตะวันออกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก
สหรัฐอเมริกาเป็นสหพันธรัฐที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยอิงกับรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 50 รัฐ และ 1 เขตปกครองพิเศษ โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี (Washington, D.C.) ในเขต District of Columbia ทั้งนี้ อเมริกายังมีอาณาเขตอีก 5 แห่งที่มีประชากรอาศัยอยู่ ได้แก่ อเมริกันซามัว, กวม, หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จิน รวมถึงอาณาเขตอีก 9 แห่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย ซึ่งเขตเหล่านี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และทะเลแคริบเบียน
====================
ชนพื้นเมืองดั้งเดิมในอเมริกา
ภาพวาดของชนกลุ่มน้อยหลากหลายกลุ่มในอเมริกา ก่อนยุคศตวรรษที่ 20
ก่อนการค้นพบทวีปอเมริกาเหนือโดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พื้นที่แถบนี้มีผู้อยู่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยเป็นชนพื้นเมืองที่เชื่อกันว่าเป็นผู้อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อ 40,000-12,000 ปีก่อน ผ่านช่องแคบเบริง โดยสมัยนั้นชาวยุโรปจะเรียกชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ว่า Red Indian หรือที่เราเคยได้ยินกันว่า อินเดียนแดง นั่นเอง แต่ปัจจุบันได้เลิกใช้แล้ว เพราะถือว่าเป็นคำไม่สุภาพในการกล่าวถึง โดยเปลี่ยนเป็นคำว่า Native American แทน
====================
ประวัติศาสตร์อเมริกา ยุคเริ่มต้น
ทวีปอเมริกาเหนือค้นพบโดย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักเดินเรือชาวอิตาลี ที่ตั้งใจจะเดินทางไปอินเดีย และจีน โดยแล่นเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อเจอแผ่นดินแล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอินเดียจึงตั้งชื่อว่าเวสต์อินดิส ซึ่งที่จริงแล้วคือหมู่เกาะบาฮามาสในปัจจุบัน แต่เมื่อโคลัมบัสได้พบกับพวกชนพื้นเมืองในหมู่เกาะแห่งนั้น จึงรู้ว่าไม่ใช่ทั้งจีน และอินเดีย เป็นแผ่นดินใหม่ที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อน จึงนำทองคำกลับไปยังสเปน ก่อนจะย้อนกลับมาอีกครั้ง และค้นพบทวีปอเมริกาใต้
ต่อมาโคลัมบัสเสียชีวิตลง นักเดินเรือชาวอิตาลีชื่อว่า อเมริโก เวสปุชชี (Amerigo Vespucci) ก็ออกเดินเรือไปเส้นทางเดียวกับโคลัมบัส โดยเบนหัวเรือขึ้นทางทิศเหนือจนค้นพบทวีปอเมริกา ทวีปอเมริกาก็ตั้งชื่อตามอเมริโก เวสปุกชี นี่เอง
====================
อเมริกา ยุคสร้างอาณานิคม
ในช่วงเริ่มต้นนั้นสเปนเป็นชาติแรกที่ตั้งอาณานิคมในอเมริกา ส่วนอังกฤษนั้นตั้งอาณานิคมแรกคือเจมส์ทาวน์ (Jamestown) ใน ค.ศ. 1607 หรือก็คือรัฐเวอร์จิเนียในปัจจุบัน และเริ่มมีการนำทาสผิวดำจากแอฟริกามาใช้ในยุคนี้
ใน ค.ศ. 1638 สวีเดนตั้งอาณานิคมเดลาแวร์ แต่ถูกฮอลันดายึด ฮอลันดาตั้งอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ใหม่ (New Netherlands) ประกอบด้วย นิวอัมสเตอร์ดาม (New Amsterdam กลายเป็นนิวยอร์กในปัจจุบัน) นิวเจอร์ซีย์ เดลาแวร์ และเพนซิลเวเนีย การแข่งขันระหว่างอังกฤษ และฮอลันดาทำให้เกิดสงครามอังกฤษ-ฮอลันดา ใน ค.ศ. 1652 ถึง ค.ศ. 1674 อังกฤษยึดนิวอัมสเตอร์ดัมได้ใน ค.ศ. 1664 และสนธิสัญญาบรีดาใน ค.ศ. 1667 ยกนิวเนเธอร์แลนด์ให้อังกฤษ
====================
งานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน Boston Tea Party
จุดเริ่มต้นการประกาศสงครามของอเมริกา
ภาพ งานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน โดย ดับลิว. ดี คูเปอร์
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1773 อเมริกาเหนือในตอนนั้นยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีวัฒนธรรมการดื่มชามาจากเกาะบ้านเกิดอยู่เช่นเดิม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างชาวอาณานิคม และอังกฤษก็เริ่มต้นมาจากจุดเล็กๆ นี้นี่เอง
ด้วยความที่เป็นประเทศเจ้าอาณานิคม อังกฤษ (หรือสหราชอาณาจักร) ต้องการเงินจำนวนมากเพื่อไปเสริมกองทัพเพื่อการขยายดินแดน ทำให้มีการเรียกเก็บภาษีมหาโหดจากชาติอาณานิคมต่างๆ รวมไปถึง พระราชบัญญัติชา กำหนดให้บริษัทบริติชอีสต์อินเดีย (East India Company) มีสิทธิ์ในการนำใบชาเข้ามาขายในดินแดนอาณานิคมแต่เพียงผู้เดียว บริษัทฯ จึงสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ตามใจชอบ
ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1773 จึงมีกลุ่มผู้ประท้วงในนาม ซันส์ออฟลิเบอร์ตี (Sons of Liberty) ประมาณ 100 คน บางคนแต่งกายเป็นชาวอเมริกันพื้นเมือง เข้าทำลายการลำเลียงชาทั้งหมดที่บริษัทบริติชอีสต์อินเดียจัดส่งมา โดยบุกขึ้นเรือ และโยนหีบชาทิ้งลงทะเลที่ท่าบอสตันนั้นเอง
รัฐบาลอังกฤษจึงตอบโต้อย่างรุนแรง มีการสั่งลงโทษรัฐแมสซาชูเซตต์ด้วยการปิดท่าเรือเมืองบอสตัน ประกาศกฎอัยการศึกล้มรัฐธรรมนูญของรัฐ และปลดผู้บริหารของรัฐจนสถานการณ์บานปลาย และนำไปสู่การประกาศสงครามต่อเจ้าอาณานิคมอังกฤษในปี ค.ศ. 1776 โดยเปิดประชุมในฟิลาเดลเฟีย และก่อตั้งกองทัพภาคพื้นทวีป ภายใต้การบังคับบัญชาของ จอร์จ วอชิงตัน พร้อมทั้งประกาศว่า "มนุษย์ทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียมกัน" และมนุษย์ทุกคนมี "สิทธิซึ่งไม่อาจโอนให้กันได้อย่างแน่นอน" รัฐสภาได้ประกาศคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา โดยคำร่างส่วนใหญ่เป็นผลงานของ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 (ซึ่งปัจจุบันวันที่ 4 ก.ค. นับเป็นวันชาติอเมริกา)
จากนั้นกองทัพอเมริกันก็ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพอังกฤษ อเมริกาได้กลายเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา The United States of America จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 1789
====================
สงครามกลางเมืองอเมริกา American Civil War
หลังจากอเมริกาได้รับเอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษไม่นาน ก็เกิดสงครามครั้งใหม่ขึ้นในปี ค.ศ. 1860 ตรงกับสมัยที่ อับราฮัม ลินคอร์น เป็นประธานาธิบดีอเมริกา เกิดความขัดแย้งจนประเทศแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างกลุ่มรัฐทางเหนือ หรือกลุ่ม Abolitionist ที่มีความคิดที่จะเลิกทาสที่ชาวอเมริกันนำตัวมาจากทวีปแอฟริกา กับกลุ่มรัฐทางใต้ (the Confederate States of America) ที่ต้องใช้แรงคนมากในการทำการเกษตร และไม่อยากให้มีการเลิกทาส
สงครามกลางกินระยะเวลายาวนานถึง 4 ปี และจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ มีการประกาศเลิกทาสทั่วสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันทุกคนมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหากมีคุณสมบัติ รวมถึงอนุญาติให้ชาวแอฟริกันผิวสีที่เคยเป็นทาสมาก่อน มีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ จากนั้นมา ประชาชนทุกคนในอเมริกาจึงเป็นไท มีอิสระเสรีเท่าเทียมกัน แต่สงครามกลางเมืองครั้งนี้ก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่น้อยกว่า 1,030,000 ราย (คิดเป็นร้อยละสามของประชากรทั้งหมด) รวมเป็นทหารที่เสียชีวิต 620,000 นาย โดยสองในสามเป็นเพราะโรคระบาด และการติดเชื้อ และมีพลเรือน 50,000 คนเสียชีวิต
====================
ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่พักสวย
แชร์ทริปสุดชิล โพสต์ภาพสุดปัง ของคุณได้แล้วที่ แอปทรูไอดี
คลิกเลย >> TrueID Travel Community <<