รีเซต

ทริปเที่ยว เกาะเชจู 4 วัน 3 คืน ที่เที่ยวเกาหลี เกาะสวย เสน่ห์ล้ำ สุดชิค

ทริปเที่ยว เกาะเชจู 4 วัน 3 คืน ที่เที่ยวเกาหลี เกาะสวย เสน่ห์ล้ำ สุดชิค
nukkpidet
24 ตุลาคม 2567 ( 11:50 )
60

     แน่นอนว่าถ้าใครเป็นสายซีรี่ย์เกาหลี อปป้า ออนนี่ นูน่า ทั้งหลาย จะต้องคุ้นๆ ภาพกับ เกาะสวย ของ ประเทศเกาหลีใต้ อย่าง เกาะเจจู หรือ เกาะเชจู นี้แน่นอน ครั้งนี้เราเลยพาทุกคนบินไปเที่ยวเกาะแห่งนี้กันแบบจัดเต็ม 4 วัน 3 คืน ไปเลย บอกเลยว่างานนี้คุณจะต้องหลงรักเสน่ห์ที่สวยงามของที่นี่อย่างแน่นอน

 

 

ที่เที่ยวเชจู เกาหลี จัดเต็ม 4 วัน 3 คืน เก็บที่เที่ยวดังครบ

เที่ยวแบบปลอดภัย รับประกันเดินทาง FWD ได้ที่นี่

เที่ยวแบบปลอดภัย รับประกันเดินทาง FWD ได้ที่นี่

 

 

แจกแผนเที่ยว เกาะเชจู เกาหลี 4 วัน 3 คืน

Day 1

  • Jeju World Natural Heritage Center
  • Seongsan Ilchulbong Peak
  • Jeju Haenyeo Museum

Day 2

  • Dongbaek Village
  • Saryeoni Forest Path
  • Haenyeo Village
  • Jeju Dongmun Traditional Market 
  • Black Pork Street

Day 3 

  • ทำผ้ามัดย้อมสไตล์เกาหลี ที่ Scene of Jeju
  • คาเฟ่ Myeongwol Elementary School
  • Hyeopjae Beach
  • Sinchang Windmill Coastal Road
  • O’sulloc Tea Museum
  • Saebyeol Oreum

Day 4

  • Jewel Changi Airport @ Singapore

 

     ทริปเชจู ในครั้งนี้ของเราเริ่มต้นขึ้นแล้วค่ะ ครั้งนี้เราเดินทางโดย สายการบิน Scoot ที่จะพาเราไปยัง เกาะเชจู นั่นเอง แต่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าบินตรงไปโซลนิดหน่อย เพราะเราจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ สิงคโปร์ ก่อนจะบินตรงไปยังเชจูค่ะ เราออกจากประเทศไทยประมาณหกโมงเย็น ด้วยเครื่องบินแบบ Airbus A321neo เป็นเครื่องไซส์ขนาดกลางๆ ที่นั่งแบบ 3-3 พร้อมอาหารที่เราสามารถซื้อทานบนเครื่องได้ค่ะ และนั่งไปไม่นานก็ถึงสิงคโปร์แล้ว

 

สายการบิน Scoot

 

     ขาไปเราไม่ได้มีเวลาช้อปปิ้งในสนามบินที่สิงคโปร์มากนัก แต่ก็พอจะดูๆ ไว้ก่อนแวะมาขากลับได้ค่ะ รอไม่ถึงสองชั่วโมง ก็ได้เวลาที่เราจะบินไปต่อที่ เชจู แล้ว ไฟล์ทของเราประมาณเที่ยงคืน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง จากสิงคโปร์ ไปถึงเชจูก็เช้าพอดีค่ะ นอนบนเครื่องยาวๆ ไปได้เลย ใครอยากนอนสบายอย่าลืม หมอนรองคอ ไอเท็มสำคัญด้วยนะคะ

 

 

 

Day 1 : มารู้จัก เกาะเชจู

     หลังจาก Early Checked-in เข้าไปนอนอาบน้ำ นอนพักสักงีบกันที่ โรงแรมของเราในวันนี้ อย่าง Maison Glad Jeju Hotel ก็ได้เวลาที่เราจะเริ่มทัวร์เกาะแห่งนี้กันแล้วค่ะ สถานที่แรกที่เราจะไปเยือนก็คือ Jeju World Natural Heritage Center เป็นสถานที่ที่เราจะได้รู้จักความเป็นมาของ เกาะเชจู นี้แบบแน่นๆ เลย ตั้งแต่การกำเนิดของเกาะ แต่ก่อนจะไปถึงขอแวะทานข้าว ลิ้มรสชาติของอาหารทะเลของเชจูสักหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า Jeju Yechan (제주예찬) มีตั้งแต่ ปูดองสไตล์เกาหลี ปลาทอด หมูตุ๋น ซุปเต้าหู้กิมจิ เรื่องรสชาติให้สามผ่านเลยค่ะ ไกด์บอกว่าร้านนี้ถือได้ว่าเป็นร้านดังของที่นี่เลย 

 

 

     ทานเสร็จก็มากันที่ Jeju World Natural Heritage Center พิกัดแรกในวันนี้ เราจะได้เห็นการจำลองภาพธรรมชาติต่างๆ ของเกาะเชจูนี้ ผ่านภาพเคลื่อนไหว ภาพสามมิติต่างๆ มากมาย จะรู้ได้เลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้รางวัล UNESCO World Natural Heritage นั่นเองค่ะ หลังจากได้เห็นภาพในอดีตแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางไปชมความสวยงามของธรรมชาติด้วยตาจริงของเราเองแล้ว

 

 

     ก่อนจะไปต้องวอร์มร่างกายกันสักหน่อย เพราะที่ต่อไปคือ Seongsan Ilchulbong Peak (성산 일출봉) ที่เราจะต้องใช้แรงขาเดินขึ้นเขาไปชมวิวสวยๆ ด้านบนกัน โดยที่นี่เป็นปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว และเราจะต้องเดินขึ้นไปเพื่อชมปล่องภูเขาไฟประมาณ 1 กม. ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ยิ่งถ้าใครได้มาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จะได้เห็นดอกคาโนลาบานสะพรั่งทั่วทั้งยอดเขาเลยค่ะ

 

 

     ที่ด้านบนยอดเขานั้น เราจะได้เห็นความสวยงามรอบ เกาะเชจู มีวิวของหมู่บ้าน และทุ่งหญ้าระหว่างทางให้ชมไปพรางๆ ด้วย และถ้าใครอยากลงมานั่งพักด้านล่างก็จะมีร้านขายของฝาก ร้านคาเฟ่ต่างๆ ให้บริการครบเลยค่ะ โดยค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 5,000 สำหรับผู้ใหญ่ค่ะ แต่ถ้าใครเดินไม่ไหว แนะนำให้ไปถ่ายภาพสวยๆ บริเวณหาดด้านล่างค่ะ เหมาะกับคนเน้นถ่ายรูปสวย ไม่เน้นเดินมากๆ

 

 

 

     หลังจากพักให้หายเหนื่อย และช้อปปิ้ง ก็ได้เวลาไปอีกที่หมายของเราอย่าง พิพิธภัณฑ์แฮนยอ หรือ Jeju Haenyeo Museum (제주해녀박물관) ต้องถามก่อนว่าใครรู้จัก แฮนยอ บ้างง ถ้าใครเป็นแฟนซีรี่ย์ Welcome to Samdalri น่าจะคุ้นๆ แน่นอน เพราะเรื่องนี้เหล่าถึงแฮนยอ นักดำน้ำหญิงของเชจู เอาไว้มากเลยค่ะ ซึ่งสถานที่นี้ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ แฮนยอ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกนั่นเอง มีทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรมพื้นเมืองต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งของ เชจู ที่มีเสน่ห์มากจริงๆ ค่ะ

 

 

     จบกันไปแล้ว สำหรับวันแรก เป็นยังไงกันบ้างคะ ได้รู้เรื่องราวของ เกาะเชจู มากขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ วันนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่เราได้แต่จินตนาการค่ะ แต่วันพรุ่งนี้ เราจะได้ไปจับต้องสิ่งต่างๆ มากขึ้น รวมถึงได้ซึบซับธรรมชาติแบบจัดเต็มขึ้นไปอีกเลย ขอพักผ่อนก่อน และเจอกันวันพรุ่งนี้ค่ะ

================

 

Day 2 : สัมผัสเสน่ห์ที่หาไม่ได้ที่ไหน บน เกาะเชจู

     รับเช้าที่สดใสด้วยการเติมของอร่อยกันค่ะ ต้องบอกว่าที่ Maison Glad Jeju Hotel ไลน์อาหารเช้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ อร่อยครบ มีให้เลือกเยอะมากๆ ตั้งแต่อาหารฝรั่ง ไปจนถึง อาหารเกาหลี ที่ห้ามพลาดคือ โจ๊กหอยเป๋าฮื้อ อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตของที่นี่ ใครมาพักที่นี่ ห้ามพลาดเลยขอบอก

 

 

 

     พิกัดแรกของวันที่สองนี้ เราจะไปเยือน Dongbaek Village หรือ Jeju Camellia Village (제주 동백마을) เป็นการเปิดประสบการณ์มากๆ เพราะเราจะได้มาเก็บ เมล็ดคามิเลีย ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นผู้ผลิตน้ำมันดอกคามิเลียเพียงแห่งเดียวของ เกาะเชจู ค่ะ แน่นอนว่าเมล็ดนี้อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายเลยทีเดียว

 

 

     นอกจากการเดินเก็บเมล็ดคามิเลียแล้ว เรายังได้มาชมขั้นตอนการทำน้ำมันจากดอกนี้ด้วย บอกเลยว่าน้ำมันที่กลั่นออกมาเสร็จใหม่ๆ หอมอย่างมากเลยทีเดียว แน่นอนว่าเราจะพลาดไม่ลิ้มลองไม่ได้ มื้ออาหารเที่ยงในวันนี้ก็คือ บีบิมบับน้ำมันดอกคามิเลีย เป็นมื้ออาหารที่ดูธรรมดาๆ แต่รสชาติจดจำไปตลอดจริงๆ ค่ะ ด้วยความหอมของน้ำมัน ที่ไม่เหมือนที่ไหน และปิดท้ายด้วยน้ำชาจากดอกคามิเลีย ทำให้มื้อนี้สมบูรณ์แบบมากๆ

 

 

 

     และแล้วเราก็ได้เวลาบอกลาหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนจะถึงสถานที่ต่อไป แนะนำให้เติมปาก เติมแก้มสักหน่อย เพราะที่นี่สวยมากๆ มุมถ่ายรูปสวยสุดๆ ณ Saryeoni Forest Path (사려니숲길) ที่นี่จะเป็นเส้นทางเดินป่าที่มีความยาว 15 กม. อยู่ท่ามกลางป่าทึบของ ต้นสนซีดาร์ ต้นไซเพรส และต้นโอ๊ก ซึ่งคำว่า ซารยอนี ตามภาษาเชจู มีความหมายถึง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยนะคะ เลยทำให้ที่นี่เป็นป่าธรรมชาติ ที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีนั่นเองค่ะ

 

 

     เมื่อวานหลายคนน่าจะได้รู้จัก แฮนยอ กันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะพามาเจอกับแฮนยอตัวจริงๆ ที่ยังทำงานเป็นนักดำน้ำอยู่บนเกาะเชจูแห่งนี้กันค่ะ ที่ Haenyeo Village หรือ 김녕수산문화복합센터 เราได้เห็นกันตั้งแต่อุปกรณ์ทำงานของเหล่าแฮนยอ ห้องแต่งตัว ไปจนถึง ชุดที่ใช้เวลาลงไปดำน้ำ ซึ่งเหล่าแฮนยอก็จะมีการแบ่งระดับด้วยนะคะ คนไหนที่ชำนาญแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถออกไปในทะเลได้ไกลกว่าปกติ ไปจับปลาหมึกได้ รวมไปถึงเรายังได้ร่วมทำพิธีกรรมที่เหล่าแฮนยอจะไหว้ประจำปีอีกด้วยค่ะ ต้องบอกเลยว่าเป็นอาชีพที่ไม่ง่ายจริงๆ งานมีความเสี่ยงมากมาย ถ้าไม่ใจรักจริงๆ คงจะทำไม่ได้ค่ะ

 

 

     เหมือนจะจบวันแล้วใช่ไหมคะ แต่ยังค่ะ วันนี้เราชมวิถีชีวิตแล้ว ก็ต้องไปให้สุด สถานที่พลาดไม่ได้ก็คือ ตลาด นั่นเอง ที่ Jeju Dongmun Traditional Market (제주동문시장) เหมือนแหล่งรวมทั้งอาหารพื้นเมือง อาหารอร่อย ไปจนถึงของฝาก มากมายเลยทีเดียวค่ะ ใครอยากทานอาหารทะเลแบบพื้นเมืองจริงๆ พลาดไม่ได้เลย

 

 

     วันนี้เราขอปิดวันกันที่อาหารที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่งของ เกาะเชจู นั่นก็คือ หมูดำ หรือภาษาเกาหลีจะเรียกว่า 흑돼지 (ฮึกทเวจี) ถ้าใครอยากกินแนะนำว่ามาที่นี่ได้เลยค่ะ เพราะบน Black Pork Street (흑돼지거리) จะมีร้านมากมายให้เราเลือก ถนนทั้งเส้นจะมีแต่ร้านหมูดำเท่านั้น ใครอยากกินร้านไหน ก็จิ้มและเดินเข้าไปได้เลยค่ะ เป็นเมนูที่พลาดแล้วจะต้องเสียใจแน่นอน ปิดวันนี้แบบอิ่มๆ หมูดำแน่นท้องกันเลยทีเดียวค่ะ 

================

 

Day 3 : เช็คอินพิกัดดัง ที่เที่ยวเชจู

     วันนี้เตรียมบริหารมือให้พร้อมค่ะ เราจะไปทำผ้ามัดย้อมสไตล์เกาหลีกัน ที่ร้าน Scene of Jeju ตอนแรกคิดภาพเอาไว้ก่อนไปว่าน่าจะไม่ต่างจากที่ไทยมากเท่าไหร คงจะเป็นภาพที่คุ้นเคย แต่พอได้ไปทำเองจริงๆ แล้ว ก็มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้างค่ะ ในส่วนของกระบวนการทำนั้น แทบจะเหมือนกันเลย เพราะที่นี่เอง ก็ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเช่นเดียวกัน วันนี้เราเองก็ได้ใช้ดอกไม้ ที่เค้าใช้ในการทำสีเหลืองของหัวไชเท้าดองด้วยค่ะ

 

 

 

     ซึ่งในระหว่างรอต้มผ้าเราก็ได้มีโอกาสเดินชมพื้นที่ในหมู่บ้าน บอกเลยว่าใครอยากชอบ ฮงบันจัง จะต้องหลงรักที่นี่แน่นอน เพราะมุมต่างๆ มีความเหมือนในซีรี่ย์มากๆ เก็บภาพได้ทุกมุมสวยๆ รวมไปถึงมุมทะเลที่สวยมากๆ ด้วย ซึ่งในหมู่บ้านนี้เองเค้าก็มีเปิดบ้านให้เช่าในairbnbด้วยนะ ใครสนใจมาพักก็ได้ฟีลเกาหลีเกาใจสุดๆ ไปเลยค่ะ

 

 

 

 

     เสร็จจากการทัวร์หมู่บ้านแล้ว เราก็กลับมาเอาผ้าที่ต้มเสร็จแล้วต่อเลย สีสดใสมากๆ ค่ะ เป็นของฝากชิ้นเดียวในโลกที่หาที่ไหนไม่ได้แล้ว และถ้าใครอยากช้อปปิ้ง บอกเลยว่าต้องจัด เพราะด้วยเสน่ห์ของเสื้อมัดย้อม จะมีแค่แบบเดียวตัวเดียวในโลกเท่านั้น อีกทั้งสไตล์ของเกาหลี เค้าก็ทำเสื้อผ้าได้ออกมาสวยชิคมากๆ เลือกสีสันได้สวย ดูแฟชั่นสุดๆ ใครเห็นของจริงจะต้องมีเสียเงินแน่ๆ 

 

 

     ตั้งแต่มาเยือน เชจู เรายังไม่ได้แวะมาชิลกับคาเฟ่เก๋ๆ เลย ซึ่งที่นี่เองก็เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ไม่เหมือนใครที่ไหน เพราะเมื่อก่อนนั้นจะเป็นโรงเรียนเก่านั่นเองค่ะ Myeongwol Elementary School (명월국민학교) แต่ก่อนจะไปคาเฟ่ก็ได้แวะทานอาหารกันสักหน่อย ร้านนี้จะเป็นอาหารเส้นๆ ที่มีชื่อว่า แนงมยอน หรือ บะหมี่เย็น นั่นเอง ทานแล้วสดชื่น อิ่มสุดๆ ไปเลยค่ะ

 

 

     ที่คาเฟ่นี้ ดูจากภายนอกก็ตอบได้เลยว่าคือโรงเรียน ถ้าไม่รู้ว่าด้านในเป็นคาเฟ่ ก็คงจะคิดว่าเป็นโรงเรียนที่เปิดอยู่แน่นอนค่ะ ภายในนอกจากจะเก็บภาพสวยๆ ได้ทุกมุมแล้ว เราก็สามารถนั่งชิลๆ ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว รวมไปถึงซื้อของฝากน่ารักๆ กลับไปได้ด้วยค่ะ 

 

 

 

 

     มาเกาะก็ต้องได้เห็นทะเล หาดสวยๆ กันบ้าง หาดที่เรามาเช็กอินกัน คือหาดที่มีชื่อว่า Hyeopjae Beach (협재해변) หาดทรายสวย ที่มีหินสีดำตัดกับสีของน้ำทะเล ทำให้ที่นี่สวยไม่เหมือนใครมากๆ น่าจะเป็นเสน่ห์ของ เกาะเชจู ที่หาได้แค่ที่นี่เท่านั้น และน่าจะเป็นหาดที่ดังแน่ๆ เพราะเห็นได้จากทั้งชาวเชจูเอง รวมไปถึงนักท่องเที่ยวมานั่งเล่นน้ำกันชิลๆ เยอะเลยค่ะ

 

 

 

     อีกหนึ่งภาพที่เราจะได้เห็นบ่อยๆ ก็คือ กังหันใหญ่ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นบน เกาะเชจู นั่นเอง เราก็เลยไม่พลาดที่จะแวะมาเก็บภาพสวยๆ กับ Sinchang Windmill Coastal Road (신창풍차해안) อีกแลนด์มาร์คบนเกาะ ที่ต้องมาให้เห็นกับตาค่ะ เพราะตัวกังหันของจริงนั้นก็ใหญ่มากๆ อีกทั้งลมพัดเย็นๆ เหมาะมานั่งตากลมสุดๆ

 

 

     วันนี้คือวันเก็บไฮไลท์ ถ้าพลาดที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงเชจูแน่ๆ O’sulloc Tea Museum (오설록 티 뮤지엄) เพราะถ้าพูดถึงเชจู ส่วนใหญ่ก็จะต้องนึกถึงภาพของไร่ชาสีเขียวกว้างของที่นี่ พร้อมกับไอศกรีมชาเขียว และเค้กชาเขียวที่ต้องมาลิ้มลอง ใครที่เป็นสาวกชาเขียว พลาดไม่ได้เลยค่ะ รวมไปถึงที่นี่ยังมี ช้อป Innisfree Jeju House แบรนด์เครื่องสำอางค์ชื่อดังให้เราได้ช้อปกันอีกด้วยนะ

 

 

      สุดท้ายเราปิดจบสวยๆ ที่ Saebyeol Oreum (새별오름) ใครที่อยากได้ภาพทุ่งหญ้าสวยๆ สีเขียว พร้อมวิวสวยๆ ของภูเขาด้านหลังมาที่นี่เลย แต่ๆ ความสวยนั้นก็แลกมาด้วยความเหนื่อยนะคะ ฮ่าๆๆๆ เพราะเราจะต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปค่ะ ถึงจะผ่านเส้นทางสวยๆ และที่ด้านบนจะค่อนข้างอากาศหนาวพอตัว ใครขี้หนาวแนะนำให้เลี่ยงช่วงหน้าหนาว หรือพกเสื้ออุ่นๆ มากันด้วยนะคะ แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ถ้าได้เห็นวิวสวยๆ ของสองข้างทางแล้ว ก็นับว่าคุ้มค่ากับการเดินขึ้นเขามามากจริงๆ

 

 

     ก่อนจบวันนี้ไป เราแวะฝากท้องกันที่ร้านอาหารซีฟู้ด มีซาซิมิสดๆ ให้ได้ทานกัน เป็นมื้อที่เหมือนจะเบา แต่ไม่เบาเลยจริงๆ เพราะไลน์อาหารแน่นมาก ก่อนที่จะเข้าไปพักผ่อนกันที่ Shilla Stay Jeju โรงแรมที่อยู่ใจกลางเมืองเชจู ก่อนจะโบกมือลาเชจูในวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนนอนแถวนี้ก็เป็นแหล่งช้อปดีๆ นี่เองค่ะ เดินกันได้ยาวๆ ไปจนร้านปิดเลย แทบจะมีแบรนด์ดังต่างๆ ครบเลย

 

 

================

 

Day 4 : แล้วพบกันใหม่ เชจู

     วันนี้เราเช็กเอ้าท์ก็เช้าหน่อย เพราะไฟล์ทของเราประมาณ 9 โมงเช้า ก็ไม่ได้มีเวลาเก็บที่เที่ยวแล้ว ถือเป็นการโบกมือลา เกาะเชจู ในตลอด 4 วัน 3 คืนนั่นเอง ภายในสนามบินเชจูเอง แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่เทียบกับอินชอน แต่ก็ถือว่ายังมีร้านค้าให้ได้ช้อปกันอีกหน่อยนะคะ ใครที่ขาดของฝากอะไร ก็ยังพอมาเก็บตกได้อยู่ รวมถึงมีที่ทำ Tax Refund เหมือนที่อินชอนเลย

 

 

     ออกเดินทางจาก สนามบินเชจู ไปถึง สิงคโปร์ ก็ประมาณ บ่ายสองนิดๆ แน่นอนว่าเรามีเวลาอีกเยอะเลยกว่าจะบินกลับไทย เพราะไฟลท์เราประมาณห้าโมงเย็น สามารถเดินช้อปกันต่อที่สนามบินได้ หรือใครจะไป Jewel Changi Airport ก็ทำ Visit Pass ออกไปได้เลยค่ะ ไปชมน้ำพุสวยๆ ช้อปร้านดังได้เลย

 

 

 

 

     เป็นอย่างไรบ้างงคะ สำหรับทริปเที่ยว เกาะเชจู 4 วัน 3 คืน เต็มอิ่มมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ ต้องบอกก่อนว่าก่อนไป ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะได้ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้กลับมาเลยค่ะ แต่พอได้ไปจริงๆ ก็รู้สึกได้ว่าเชจู มีอะไรมากกว่าที่คิดมากๆ ทั้งอาหาร ที่เที่ยว ไปจนถึงเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ใครลังเลอยู่ว่าจะไปเชจูดีไหม บอกเลยว่าไม่ต้องลังเลอีกแล้วค่ะ จองตั๋วบินไปได้เลย รับรองว่าไม่เหมือนโซลที่เราเคยไปมาอย่างแน่นอน

================

 

🙏 ขอขอบคุณทริปดีๆ จาก สายการบิน Scoot และ การท่องเที่ยวเชจู (Jeju Tourism Organisation-JTO)