7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ Seven Wonders of the Ancient World ตำนานที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
แน่นอนว่าก่อนจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันที่เรารู้จักอยู่แล้ว เรารู้แน่ชัดว่าถูกมนุษย์สร้างขึ้น แต่สำหรับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณนั้น มันกลับดูลึกลับจนเกือบออกไปทางเรื่องปรัมปราซะด้วยซ้ำ บางอย่างยังหลงเหลือซากปรักให้เราได้ชม แต่บางอย่างก็แทบไม่มีหลักฐานยืนยันเลย มีเพียงคำบอกเล่าจากตำราโบราณเท่านั้น
- 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง เสน่ห์อารยธรรมโบราณที่ยังไม่หายไปกับเวลา
- 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ของโลกนี้แต่อย่างใด มันอยู่คู่กับผู้คนมาแทบทุกยุคทุกสมัย ถึงขนาดมีคำโบราณในภาษากรีกเพื่อใช้เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Themata แปลว่า ‘ต้องไปเห็นให้ได้’
แผนที่ตำแหน่ง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคโบราณ
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคโบราณ
สำหรับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณนั้นจะอยู่ในช่วงประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล ถึงปีคริสตศักราช 500 โดยเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ถูกพบเป็นครั้งแรกในงานเขียนของกวีชาวกรีก นามว่า แอนติเพเตอร์แห่งไซดอน (Antipator of Saidon) ซึ่งนับเป็นการจัดทำบัญชี 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเป็นบัญชีแรกของมนุษยชาติอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างในแถบเมดิเตอเรเนียนตะวันออก (เชื่อว่าน่าจะเพราะยังไม่มีการเดินเรือไปยังทวีปอื่นๆ แพร่หลายเท่ายุคถัดมา) มีทั้งหมด ดังนี้
1. มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza)
มหาพีระมิดของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงอย่างเดียวที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงตั้งอยู่จนยืนยงจนปัจจุบัน ใช้สำหรับเป็นที่เก็บรักษาพระศพฟาโรห์คูฟู (Khufu) สร้างขึ้นด้วยก้อนหินทรายทรงสี่เหลี่ยมประกอบกันกว่า 2.3 ล้านก้อน สร้างยาวนานกว่า 20 ปี ใช้แรงงานไม่ต่ำกว่า 100,000 ชีวิต
ปัจจุบันวิธีการสร้างพีระมิดแห่งกีซายังคงเป็นปริศนา ด้วยความที่หินแต่ละก้อนมีน้ำหนักหลายตัน (ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดหนักถึง 200 เมตริกตัน หนักเท่าชิ้นส่วนเรือไททานิค) แต่เทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่น ไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน มีเพียงหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำบนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อยลากเข็นไปบนแคร่ไม้ ใช้การราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน แต่นั่นยังไม่สามารถตอบเราได้ว่าพวกเขาใช้วิธีใดลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเทียบเท่าตึก 40 ชั้นในยุคปัจจุบันได้ ถึงขนาดที่มีทฤษฎีว่าพีระมิดแห่งเมืองอียิปต์นั้นอาจจะไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ในสมัยของอียิปต์โบราณ แต่อาจจะเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติส หรือไม่ก็ มนุษย์ต่างดาว นั่นเลย
====================
2. สวนลอยแห่งบาบิโลน (HANGING GARDENS OF BABYLON)
Public Domain
สวนลอยแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 ประมาณ 605-562 ปีก่อนคริสตกาล ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือแม้แต่ซากปรักให้เห็น แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลน เมืองมาฮาวีล (Mahaweel) ประเทศอิรัก
Public Domain
มีการบรรยายถึงสวนแห่งนี้ไว้ว่ามีพื้นที่กว่า 400 ตารางฟุต สร้างสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ อุดมไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ มีระบบชักรอกเพื่อรถน้ำต้นไม้จากชั้นบน แล้วปล่อยให้ไหลลงตามชั้นต่างๆ พระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2ทรงให้สร้างไว้เพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนของพระมเหสีของพระองค์ เพื่อบรรเทาความคิดถึงบ้านเกิดของพระนาง
====================
3. เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (The Statue of Zeus at Olympia)
Public Domain
หากเทวรูปนี้ยังอยู่ถึงปัจจุบัน มันจะต้องเป็นสิ่งก่อสร้างเกี่ยวกับเทพเจ้าที่วิจิตรอลังการที่สุดอย่างแน่นอน เทวรูปซูสตั้งอยู่ในประเทศกรีซ สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล โดยช่างแกะสลักชาวกรีกที่มีชื่อที่สุดแห่งยุคโบราณ นามฟิดิแอส (Phidias) มีความสูง 12 เมตร ประทับนั่งอยู่บนบัลลังค์ ประดับประดาด้วยงาช้าง ทองคำ ผ้าไหม ฯลฯ สร้างไว้ในวิหารซุส (Temple of Zeus) ซึ่งภายหลังถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้น เหลือเพียงซากที่อยู่ในเขตเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ
====================
4. วิหารอาร์ทิมีส (The Temple of Artemis at Ephesus)
Public Domain
ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซุส ประเทศตุรกีในปัจจุบัน สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสตกาล สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพีอาร์ทิมิส ซึ่งเป็นเทพที่พวกนายพรานเคารพบูชา ว่ากันว่าวิหารแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ที่สุดในยุคนั้น
ที่นี่ถูกเผาทำลายอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 21 กรกฎาคม 356 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับวันประสูติของอเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งในภายหลังพระองค์ก็ต้องการที่จะบูรณะวิหารนี้ขึ้นมา แต่ชาวเมืองก็ปฎิเสธ และเลือกที่จะบูรณะกันใหม่เองโดยลดขนาดวิหารให้เล็กลง ต่อมาก็ถูกทำลายอีกโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี ค.ศ. 262 จนต้องบูรณะกันอีกครั้ง สุดท้ายวิหารก็ถูกทำลายอีกโดยกลุ่มชาวคริสต์ นำโดย Saint John Chrysostom ในปีค.ศ.401 ปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากเสาเท่านั้น
====================
5. สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสซัส (Mausoleum at Halicarnassus)
ตั้งอยู่ในเมืองโบดรุม (Bodrum) ประเทศตุรกี สร้างขึ้นเมื่อ 351 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระดำริของราชินีอาร์เทมิเซีย (Artemisia) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่พระสวามี กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว ปัจจุบันหลงเหลือเพียงชากปรักหักพัง และซากของรูปปั้นต่างๆ ที่ใช้ประดับสุสาน
====================
6. เทวรูปโคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์ (Colossus of Rhodes)
Public Domain
ตั้งอยู่ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีซ เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิออส (Apollo) สูงประมาณ 33 เมตร ก่อสร้างระหว่าง 292-280 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งตระหง่านบริเวณปากอ่าวของเกาะโรดส์ ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 56 ปี ถึงกระนั้นซากของเทวรูปนี้ก็ยังเป็นจุดแลนด์มาร์คของผู้คนในแถบนี้ต่อมาถึง 800 ปี ในประวัติศาสตร์มีบันทึกว่าแค่ส่วนนิ้วของรูปปั้นนี้ก็มีขนาดใหญ่กว่าไซส์รูปปั้นปกติของยุคนั้นแล้ว
====================
7. ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria)
Public Domain
ประภาคารยักษ์ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 280 ปีก่อนคริสตกาล ว่ากันว่ามันสูงมากจนสามารถมองเห็นได้ไกล 35 ไมล์ ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงจากเหตุแผ่นดินไหวในช่วงคริสตศตวรรษที่ 14
====================
ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่พักสวย
แชร์ทริปสุดชิล โพสต์ภาพสุดปัง ของคุณได้แล้วที่ แอปทรูไอดี
คลิกเลย >> TrueID Travel Community <<