รีเซต

10 เมืองน่าเที่ยว จอร์เจีย ค่าครองชีพถูก วิวยุโรป ฟรีวีซ่าคนไทย !

10 เมืองน่าเที่ยว จอร์เจีย ค่าครองชีพถูก วิวยุโรป ฟรีวีซ่าคนไทย !
Muzika
2 มิถุนายน 2564 ( 16:26 )
293.5K
15

     แทบไม่น่าเชื่อเลย ว่าเราจะมองข้ามประเทศเล็กๆ แสนน่ารักน่าเที่ยวอย่างนี้มานาน นั่นคือ จอร์เจีย ดินแดนสุดขอบทวีปเอเชีย ที่มีบรรยากาศแบบยุโรปผสมกับโซเวียตอย่างลงตัวเป๊ะ เต็มไปด้วยที่เที่ยวธรรมชาติทั้งป่า แม่น้ำ ภูเขา ที่สำคัญคือคนไทยยังไปฟรี ! เพราะไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ถึง 365 วันเลยทีเดียวเชียว ค่าครองชีพถูกเหมือนอยู่บ้านเราอีกต่างหาก และที่สำคัญตอนนี้ยังสามารถไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว สำหรับคนที่มีหลักฐาน และใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วด้วย โอ้โห อธิบายขนาดนี้แล้ว รีบมาทำความรู้จักกับจอร์เจียให้มากขึ้นอีกสักนิดกันดีกว่า

 

 

ประเทศจอร์เจีย อยู่ตรงไหนของโลก ?

 

 

     จอร์เจีย หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจอร์เจีย นั้นตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ทิศตะวันตกติดชายฝั่งทะเลดำ ทางใต้ติดกับประเทศตุรกี อาร์มีเนีย ทิศตะวันออกจรดพรมแดนอาเซอร์ไบจาน ส่วนทางเหนือจะติดกับรัสเซีย โดยมีเทือกเขาคอเคซัสเป็นตัวแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรป และทวีปเอเชียด้วยกัน (ในอดีตจอร์เจียเคยเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียตด้วย)

====================

 

9 เมืองท่องเที่ยวไฮไลท์ในจอร์เจีย

1. เมืองหลวงทบิลิซี (Tbilisi)

 

 

     เมืองหลวงที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์แบบเมืองเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี ทั้งสีสันต่างๆ อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมของแต่ละยุค ที่สำคัญคือรายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นภาพที่หาได้ยากในเมืองหลวงอื่นในยุโรปจริงๆ ครับ ที่ทบิลิซีมีเคเบิลคาร์จากสวนไรค์ (Rike Park) ให้ขึ้นไปชมวิวแบบพาโนรามาบนป้อมปราการ นาริกาลา (Narikala) ด้านบน ค่าโดยสารเพียง 1 ลารีจอร์เจียเท่านั้นครับ

     ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบทบิลิซี (Tbilisi Sea) ทะเลสาบเทียมที่รายล้อมไปด้วยวิวทิวทัศน์ของป่าไม้ และเทือกเขา เป็นแหล่งปิคนิคยอดนิยมของคนที่นี่ครับ โดยเฉพาะหน้าร้อนผู้คนจะมาชุมนุมทำกิจกรรมกันที่นี่เยอะมาก

====================

 

2. เมืองหลวงเก่าจอร์เจีย มิชเคห์ตา (Mtskheta)

 

 

     อดีตเมืองหลวงในช่วงศตวรรษที่ 5 ของจอร์เจีย อยู่ห่างจากทบิลิซีเพียง 20 กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูมิประเทศอันสวยงาม อาคารบ้านเรือนยังคงความเป็นยุคกลสงเหมือนเดิม รายล้อมไปด้วยไร่องุ่นสายพันธุ์สำหรับทำไวน์

 

 

     ที่นี่ยังมีโบสถ์ที่ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมถึง 3 แห่ง ได้แก่ Svetitskhoveli Cathedral, Samtavro Church and Monastery และ Mtskhetis Jvari ความิเศษอีกอย่างของเมืองนี้ก็คือจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือแม่น้ำอักราวิ (Aragvi) และแม่น้ำมิกวาริ (Mtkvari) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีสีต่างกันอีกด้วย กลายเป็นภาพแปลกตาเมื่อยามมารวมตัวกัน

====================

 

3. เมืองโบราณอุพลิสชิเค (Uplistsikhe)

 

 

     เมืองถ้ำโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน ประมาณอายุแล้วน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยยุคหิน อายุกว่า 3,000 ปีแล้ว เมืองนี้ใช้การสร้างโดยเจาะภูเขาหินจนลึกเข้าไปเป็นถ้ำ และมีการอยู่อาศัยกันจนเป็นชุมชนใหญ่ มีทั้งที่พักอาศัย ร้านค้า โบสถ์ คุก ฯลฯ รอบๆ เมืองยังมีวิวเทือกเขา และแม่น้ำมิกวาริที่สวยงามด้วย

====================

 

4. หมู่บ้านจูทา (Juta)

 

หมู่บ้านจูทา จอร์เจีย (Juta)

 

     หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาในเทือกเขาคอเคซัส ที่ใครๆ หลายคนยกให้มีความงามเทียบเท่าสวิสเลยทีเดียว ด้วยความที่มีวิวทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ฉากหลังเป็นยอดเขาสูงใหญ่อลังการมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดเดินเขายอดนิยมของนักผจญภัย มีที่พักทั้งแบบกางเต็นท์ และแบบพักเกสต์เฮาต์เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ กลางหุบเขาด้วย

====================

 

5. เมืองบนเทือกเขา คาซเบกิ (Kazbegi)

 

 

     คาซเบกิตั้งอยู่บนภูเขาคาซเบก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคอเคซัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์เจีย ที่ควมสูงกว่า 2,170 เมตร ทำให้การมาที่นี่ต้องนั่งรถโฟล์วีลขึ้นมา หรือเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ใช้เวลาราว ๆ 1-2 ชั่วโมงก็ถึง โดยมีที่เที่ยวเด่นก็คือโบสถ์เก่าแก่ Gergeti Trinity Church สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 โดยมีด้านหลังเป็นแนวยอดเขาคาซเบกิอันยิ่งใหญ่เป็นแบ็คกราวน์

====================

 

6. เมืองสกีรีสอร์ท กูเดาริ (Gudauri)

 

 

     กูเดาริน่าจะถูกใจสายเที่ยวหน้าหนาว นอนเล่นหิมะเป็นแน่แท้ เพราะที่นี่จะกลายสภาพเป็นภูเขาหิมะขนาดใหญ่ไว้เล่นสกี และกีฬาฤดูหนาวทุกรูปแบบ บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,200 เมตร มีความยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้เทือกเขาแอลป์ของฝั่งยุโรปเลยทีเดียว

====================

 

7. เมืองตากอากาศ บอร์โจมิ (Borjomi)

 

eFesenko / Shutterstock.com

 

     เมืองเล็กน่ารักอันแสนเงียบสงบ และมีชื่อเสียงในด้านน้ำแร่มากที่สุดของประเทศ เพราะเป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ มีที่พักมากมายที่เปิดให้บริการแช่น้ำพุร้อน และความดีก็คือที่นี่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แช่น้ำร้อนตอนไหนก็ฟิน

====================

 

8. หมู่บ้านมรดกโลก อุชกูลลิ (Ushguli)

 

 

     หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป ที่ความสูง 2,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 300 คนเท่านั้น แต่ก็มีโรงเรียน โบสถ์ ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ที่พัก ครบจบในที่เดียว แม้นักท่องเที่ยวอาจจะน้อยจนเงียบๆ ไปบ้าง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ที่แท้จริงของที่นี่ ซึ่งมีความเรียบง่าย และชาวเมืองยังรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดูครับ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวที่นี่จะมีหิมะปกคลุมนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

====================

 

9. ชุมชนปล่องไฟ เมสเตีย (Mestia)

 

By Levan Gokadze (uploader Giorgi Balakhadze) - [1], CC BY-SA 2.0

 

     เมสเตีย เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างทางไปเมืองอุชกูลลิ เอกลักษณ์ที่ชัดเจนของเมืองนี้ คือทุกบ้านจะมีหอคอยขนาดใหญ่เห็นเด่นชัด ที่หากมองไกลๆ จะนึกว่าเป็นปล่องไฟเลยทีเดียว ซึ่งในสมัยก่อนใช้เพื่อการรักษาความปลอดภัยของเมือง แม้จะเป็นเมืองเล็กแต่บรรยากาศยิ่งใหญ่มาก รายล้อมด้วยภูเขา ด้วยความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีพิพิธภัณฑ์ให้ศึกษาประวัติศาสตร์อยู่ 2-3 แห่ง อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือที่นี่มีเส้นทางเดินเขาชมป่าสนด้วย น่าจะถูกใจสาย trekking เป็นแน่

====================

 

10. เมืองริมทะเลดำ บาทูมิ (Batumi)

 

 

     กลับมาเที่ยวเมืองกันบ้าง ที่บาทูมิ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจอร์เจีย อยู่ริมชายฝั่งทะเลดำบริเวณเชิงเขาคอเคซัส ที่ภายในเมืองจะมีการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิม และสมัยใหม่ไว้อย่างลงตัว ใครชอบที่เที่ยวเอนเตอร์เทนเมนต์เยอะๆ น่าลองมาแวะครับ

====================

 

เที่ยว จอร์เจีย เดือนไหนดี ?

 

 

     สภาพอากาศของจอร์เจียค่อนข้างหลากหลายครับ หลักๆ แล้วฝั่งทางตะวันตกอากาศจะอบอุ่นมากกว่าทางด้านตะวันออกเพราะอยู่ติดกับทะเลดำ พูดกันตามตรงจอร์เจียเที่ยวได้ทั้งปีครับ อยู่ที่ว่าชอบบรรยากาศของฤดูไหนากกว่า โดยอุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละช่วงก็ได้แก่

 

  • ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ราว ๆ เดือนมีนาคม-พฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 10-24 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่เที่ยวได้สบายที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าจะออกสีเขียวๆ หน่อย ใส่เสื้อกันหนาวธรรมดาก็อยู่ได้

  • ฤดูร้อน จะอยู่ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 16-31 องศาเซลเซียส แดดแรงๆ แน่นอน ใครขี้หนาวมาช่วงนี้แทนได้

  • ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 4-20 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีใบไม่เปลี่ยนสีให้ดูด้วย สวยงามมาก แต่ถ้าเที่ยวบนเขาลมแรงๆ จะหนาวมาก

  • ฤดูหนาว อยู่ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส ช่วงนี้จะมีหิมะตก ใครชอบสีขาวโพลนให้มาได้ แต่ถ้าขึ้นเขาอาจหนาวสั่นถึงกระดูก ควรเตรียมร่างกาย และเสื้อผ้าให้พร้อม

====================

 

จอร์เจีย ค่าครองชีพถูกจริงไหม ?

 

 

     นอกเหนือจากค่าตั๋วเครื่องบินที่ราคาค่อนข้างสูงแล้ว (20,000 - 25,000 บาท ไปกลับ) การใช้ชีวิตในจอร์เจียนั้นพอๆ กันกับในเมืองไทยจริงครับ ค่าที่พักมีตั้งแต่ราคา 600 - 2,000 บาทแล้วแต่ประเภทที่พัก ค่าอาหารปกติประมาณ 40-100 บาท ค่าเบียร์เริ่มที่ 20 บาทก็ซื้อได้แล้ว ค่าอาหารในแมคโดนัลด์จะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 13 ลารีจอร์เจีย หรือประมาณ 135 บาท เป็นต้น อยู่สบายเลยรับรอง

  • ค่าเงินของจอร์เจีย 1 ลารีจอร์เจีย (Georgian Lari) = ประมาณ 10.59 บาท
  • ไม่มีร้านแลกเงินในไทยเปิดแลกสกุลเงินลารีจอร์เจีย ดังนั้นให้แลกเงิน US หรือเงิน Euro ไปแลกเป็นลารีที่ประเทศจอร์เจียครับ

====================

 

อาหารท้องถิ่นจอร์เจีย ไปแล้วต้องห้ามพลาด

 

 

     อาหารจอร์เจียนั้นคนไทยน่าจะคุ้นเคยได้ไม่ยากครับ กินง่ายสไตล์ยุโรป แต่เมนูที่ห้ามพลาดจริงๆ ก็คือ Khachapuri เป็นขนมปังที่รสสัมผัสคล้ายแป้งพิซซ่าแบบหนานุ่ม มีไข่ ชีส เนย อยู่ตรงกลาง ก่อนกินก็คนๆ ให้ส่วนผสมตรงกลางทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกัน จะได้ความหอมหวาน มันๆ ครีมๆ ส่วนอีกเมนูคือ Khinkali เกี๊ยวสไตล์ยุโรป หน้าตานั้นคนไทยน่าจะบอกได้ว่าเหมือนเสี่ยวหลงเปาก้อนยักษ์ ข้างในมีน้ำซุปร้อนๆ ขลุกขลิกอยู่ด้วย

====================

 

ของฝากจอร์เจีย ซื้ออะไรดี ?

 

 

     ไวน์จอร์เจียนั้นน่าจะเป็นของฝากที่เจ๋งที่สุดแล้วของจอร์เจียครับ ว่ากันว่าไวน์จอร์เจียนั้นรสนุ่มละมุนที่สุดในโลกด้วยนะ นอกเหนือจากไวน์แล้วของฝากยอดนิยมอีกอย่างก็คือ แก้วทำจากเขาสัตว์ ครับ ด้วยรูปทรงของแก้วคือวางตั้งไม่ได้ด้วย บังคับว่าต้องดื่มให้หมดแก้วอย่างเดียวถึงจะวางได้ น่าจะถูกใจสายดริ๊งค์เป็นอย่างดี นอกเหนือจากนี้ก็มีพวกข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากสแตนเลสต่างๆ ด้วย

====================

 

อยากไปแล้ว จอร์เจีย เดินทางไปยังไง ?

 

     ปัจจุบัน (2019) ยังไมมีสายการบินที่บินตรงจากไทย ไปลงที่เมืองหลวงจอร์เจีย ทบิลิซี (Tbilisi) เลยครับ ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องเท่านั้น เปลี่ยนที่ไหนก็แล้วแต่สายการบินครับ เช่น Qatar Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่โดฮา Turkish Airlines เปลี่ยนเครื่องที่ตุรกี เป็นต้น ใช้เวลาบินรวมเปลี่ยนเครื่องทั้งสิ้น ประมาณ 11-13 ชั่วโมงครับ

 

 

     เห็นหรือยังครับ ว่าจอร์เจียนั้นน่าเที่ยวมากมายขนาดไหน ใครอยากไปเที่ยวประเทศบรรยากาศยุโรปในราคาเอเชียแล้วล่ะก็ จอร์เจียนี่ต้องไปจริงๆ ครับ เที่ยวได้ 1 ปี เที่ยวได้ทุกฤดูอีกต่างหาก รู้แล้วรีบไปก่อนที่จะฮิตจนนักท่องเที่ยวแห่กันไปจนวุ่นวายนะ

===============