รีเซต

14 มาตรการเร่งด่วน ป้องกันไวรัสโคโรนา COVID-19 ในไทย

14 มาตรการเร่งด่วน ป้องกันไวรัสโคโรนา COVID-19 ในไทย
เอิงเอย
4 มีนาคม 2563 ( 14:40 )
10K
1

       กระทรวงสาธารณสุข ประกาศสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไทยอยู่อันดับที่ 17 ของโลก และ นายกรัฐมนตรีได้มีมาตรการเร่งด่วนสำหรับโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 COVID-19  ด้านการป้องกันโรค ทั้งหมด 14 ข้อ ดังนี้

 

 

  1. ให้ทุกหน่วยดำเนินตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

  2. ติดตามดูแลคนไทยในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างใกล้ชิด

  3. ทุกส่วนราชการระงับ/เลื่อนการเดินทางไปประเทศที่มีการแพร่ระบาดและประเทศเฝ้าระวัง

  4. เตรียมสถานที่สังเกตอาการ คัดกรองผู้ป่วย

  5. เจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดต้องกักตัว 14 วันไม่ถือเป็นวันลา

  6. จัดหาเวชกัณฑ์อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นเพิ่มเติมและหากจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานของบประมาณเพิ่มเติม

  7. ตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำเนียบฯ

  8. ให้มีการประชุมเตรียมพร้อมป้องกันสม่ำเสมอ

  9. ทุกหน่วยงานเร่งจัดหาสินค้าที่ใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคให้พียงพอกับความต้องการ

  10. ดูแลบุคลากรทางการแพทย์อย่างเหมาะสม

  11. กระทรวงพาณิชย์ป้องกันการกักตุนสินค้าและควบคุมราคา

  12. กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลรองรับพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

  13. กระทรวงคมนาคมคัดกรองผู้โดยสารอย่างเคร่งครัด

  14. ขอความร่วมมืองดจัดกิจกรรมที่ต้องมีการรวมตัวของประชาชน

 

       ผู้ที่เดินทางกลับจากประทศที่มีการระบาดเมื่อพบมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย อย่างใดอย่างหนึ่งให้ประสานสถานพยาบาลเพื่อนำสู่ระบบการตรวจรักษาที่เหมาะสมต่อไป หากไม่พบอาการต้องสงสัย ให้กักตัวเองในที่พัก 14 วัน (Self quarantine at home) และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ดังนี้คือ

 

 

  • สวมหน้ากากอนามัยอยู่ห่างจากคนอื่น 1-2 เมตร
  • หยุดเรียน/ทำงาน งดร่วมกิจกรรมต่างๆ
  • นอนห้องแยก
  • ปิดปาก จมูกทุกครั้งที่ไอ จาม
  • ทำความสะอาดที่พัก ของใช้ แยกของใช้
  • ทานอาหารแยกกับผู้อื่น ใช้ช้อนกลาง
  • ทิ้งหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี
  • หลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ
  • หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูกเจ็บคอ หายใจเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข