9 ข้อที่ต้องดูให้ดี ก่อนซื้อกระเป๋าเดินทางสักใบไว้ไปท่องเที่ยว
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวหรือต้องเดินทางบ่อยๆ กระเป๋าเดินทางเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เลยทีเดียว สมัยนี้มีกระเป๋าให้เราเลือกหลายแบบหลากสไตล์ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีความเหมาะสมกับการท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน หากชอบท่องเที่ยวต่างประเทศต้องใช้กระเป๋าแบบหนึ่ง หรือชอบท่องเที่ยวเดินป่าขึ้นเขาอาจต้องใช้กระเป๋าอีกแบบหนึ่ง วันนี้เราจึงมาบอกต่อ สิ่งที่ต้องดูและพิจารณา ก่อนจะซื้อกระเป๋าเดินทางสักใบไว้ไปท่องเที่ยว
1.ขนาดของกระเป๋าเดินทาง
เลือกขนาดของกระเป๋าเดินทางให้เหมาะสมกับสิ่งของที่จะใส่และระยะเวลาที่เราจะไปเที่ยว แน่นอนว่ากระเป๋าใบใหญ่จะเหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลานาน เพราะสามารถจุของได้มาก หากเดินทางประมาณ 1-3 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 18-20” เดินทางประมาณ 4-6 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋า 24” เดินทางประมาณ 7-10 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋า 28”
สำหรับกระเป๋าเป้แบ็คแพกนั้น หากเดินทาง 1-2 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 10-30 ลิตร เดินทางประมาณ 2-5 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 25-32 ลิตร ซึ่งขนาดนี้ถือว่าใหญ่สุดที่จะสามารถถือขึ้นเครื่องบินได้ หากเดินทางประมาณ 5-7 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 32-40 ลิตร และเดินทางประมาณ 8-14 วัน ควรเลือกใช้กระเป๋าขนาด 40-70 ลิตร
นอกจากนี้อย่าลืมว่ากระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่องบินนั้น ทางสายการบินจะมีการกำหนดขนาดและกำหนดน้ำหนักของกระเป๋าด้วย (อ่านเพิ่มเติม–น้ำหนักกระเป๋า เท่าไหร่ถึงได้ฟรี รวมข้อมูลน้ำหนักสัมภาระ สายการบินในไทย)
2.วัสดุของกระเป๋าเดินทาง หากแบ่งกระเป๋าเดินทางออกตามวัสดุที่ผลิต จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
– กระเป๋าเดินทางประเภทอ่อน (Soft Case) ผลิตจากวัสดุผ้าโพลีเอสเตอร์ผสมไนล่อน
ข้อดี : กระเป๋ามีความเบาและยืดหยุ่น สามารถใส่ลงไปในช่องเก็บสัมภาระที่แคบและจำกัดได้ และยังเหมาะมากสำหรับผู้ที่รักการช้อปปิ้งหรือมีเสื้อผ้าสิ่งของเยอะมากๆ เพราะกระเป๋าสามารถยืดหยุ่นและเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากขึ้น นอกจากนี้บางรุ่นยังผลิตจากผ้าที่สามารถกันน้ำได้ด้วย
ข้อเสีย : ป้องกันการกระแทกได้น้อยกว่าแบบแข็ง และอาจฉีกขาดได้หากทำมาจากวัสดุที่คุณภาพไม่ดีพอ บางรุ่นไม่สามารถกันน้ำได้
– กระเป๋าเดินทางประเภทแข็ง (Hard Case) ผลิตจากวัสดุพลาสติก ส่วนมากเป็นโพลีคอร์บอเนต (PC) และอะคริโลไนไตรล์-บิวทาไดอีน-สไตรีน (ABS)
ข้อดี : มีความแข็งแรงทนทาน มีโครงสร้างกันกระแทก กระเป๋าเดินทางบางรุ่นมีการผลิตจากวัสดุพิเศษที่ทำให้กระเป๋ามีน้ำหนักเบาแต่ยังคงทนแข็งแรง ทำให้ของภายในไม่เสียทรงหรือเสียหายหากเกินแรงกดทับหรือการกระแทกแรงๆ สามารถกันน้ำได้ และยังสามารถป้องกันขโมยได้ระดับหนึ่งเพราะกรีดเปิดได้ยาก
ข้อเสีย : กระเป๋าเดินทางประเภทนี้ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ จึงยากต่อการเก็บ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในรถ และไม่เหมาะกับคนที่มีของเยอะ เพราะกระเป๋าจะแข็ง ไม่สามารถยืดหยุ่นเพิ่มพื้นที่ได้ นอกจากนี้หากกระเป๋าทำมาจากวัสดุที่คุณภาพไม่ดีหรือถูกมากๆ ก็อาจจะแตกได้
สำหรับกระเป๋าเป้แบ็คแพก ควรเลือกที่ทำจากผ้าที่ทนทานต่อการฉีกขาด มีรอยเย็บที่แข็งแรง ตัวกระเป๋ามีความเบาแต่รับน้ำหนักได้ดี และมีโครงสร้างที่ซัพพอร์ตหลัง สะพายนานๆ แล้วไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อย บางรุ่นกันน้ำกันฝนได้ ระบายอากาศได้ดี
3.ช่องใส่ของ
แน่นอนว่ากระเป๋าเดินทางแบบผ้า จะมีช่องใส่ของเยอะกว่ากระเป๋าเดินทางแบบพลาสติกแข็งๆ เพราะลักษณะโครงสร้างของกระเป๋าแบบแข็งไม่เอื้อต่อการมีช่องใส่ของได้มากมายนัก รวมถึงช่องใส่ของด้านนอกด้วย จึงควรพิจารณาว่าเรามีสิ่งของที่จะใส่ลงไปในกระเป๋ามากเท่าไหร่ ชอบซื้อของช้อปปิ้งเพิ่มจนกระเป๋าล้นหรือไม่ หรือเป็นคนที่ชอบจัดแจงสิ่งของให้เป็นระเบียบหรือไม่ เพื่อให้ตรงไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุด
4.ซิป หูหิ้ว และคันชักกระเป๋า
อย่าลืมตรวจดูซิปกระเป๋าให้ดีว่ามีความแข็งแรง เปิดง่ายไม่กินเนื้อผ้า กระเป๋าบางรุ่นจะมีซิป 2 ทิศทางทำให้สะดวกต่อการเปิดใช้งานอีกด้วย นอกจากนี้หูหิ้วก็สำคัญ ควรมีความแข็งแรงจับได้ง่าย สำหรับกระเป๋าลากจะมีหูคันชักเพื่อให้สะดวกต่อการลาก ควรเลือกแบบที่สามารถปรับระดับความยาวได้เหมาะกับความสูงของเรา ควรเป็นคันชักที่ติดตั้งอยู่ในกระเป๋าเพราะพังยากกว่า และมีความแข็งแรงทนทาน อย่าลืมทดลองจับและลาก หากกระเป๋ายังชนกับขาของเราแสดงว่าความยาวของคันชักยังไม่สัมพันธ์กับความสูง
5.ล้อ
กระเป๋าเดินทางแบบมีล้อลาก แน่นอนว่าช่วยเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้ายกระเป๋า แบ่งออกเป็น
– กระเป๋าลากแบบ 2 ล้อ
ข้อดี : สะดวกมากหากต้องลากกระเป๋าไปบนทางที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ ควรเลือกล้อที่สามารถหมุนไปได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะจะง่ายต่อการลาก
ข้อเสีย : กระเป๋าลากแบบ 2 ล้อนั้นเราจะต้องใช้กำลังแขนในการลากมากกว่าแบบ 4 ล้อ เพราะกระเป๋าต้องถูกลากอยู่ด้านหลังเท่านั้น ซึ่งหากกระเป๋าหนักมากและต้องลากเป็นเวลานานอาจทำให้ปวดข้อมือและไหล่ได้
– กระเป๋าลากแบบ 4 ล้อ
ข้อดี : สามารถลากได้ง่ายกว่าแบบ 2 ล้อ เซฟแรง ไม่ทำให้ปวดข้อมือหรือไหล่ นอกจากนี้ล้อที่สามารถหมุนได้ 360 องศา จะทำให้เคลื่นย้ายกระเป๋าได้ง่ายแม้ในพื้นที่ที่จำกัด เช่น บนรถไฟ บนทางเดินในเครื่องบิน และในลิฟต์
ข้อเสีย : ล้อลากที่ยื่นออกมานอกกระเป๋า อาจพังเสียหายได้ง่าย และด้วยความที่มี 4 ล้อ กระเป๋าจึงไม่สามารถวางบนทางลาดได้ นอกจากนี้การนำกระเป๋าขึ้นเครื่องบิน สายการบินจะวัดขนาดกระเป๋ารวมทั้งตัวกระเป๋าและล้อด้วย จึงควรที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระเป๋าของเราจะไม่มีขนาดที่ใหญ่เกิดข้อกำหนด
เพิ่มเติมคือควรเลือกล้อที่เป็นยางทั้งลูก มีตลับลูกปืน ล้อที่ฝังอยู่ในกระเป๋าจะพังยากกว่าล้อที่ยื่นออกมานอกกระเป๋า และล้อแบบคู่จะแข็งแรงทนทานกว่า
6.ตัวล็อก
กระเป๋าเดินทางที่มีตัวล็อก TSA จะช่วยป้องกันการขโมยหรือการเปิดกระเป๋าเดินทางของเราโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงปลอดภัยกว่ากระเป๋าที่ไม่มีตัวล็อกเลย (อ่านเพิ่มเติม–9 วิธีป้องกันกระเป๋าเดินทางหาย สลับสับเปลี่ยน หรือถูกขโมย เมื่อขึ้นเครื่องบิน)
7.รูปทรง สี ของกระเป๋า
เลือกรูปทรงกระเป๋าและสีที่ชื่นชอบ สำหรับสีกระเป๋านั้นหากเลือกสีที่โดดเด่นสะดุดตา จะช่วยให้เรามองหากระเป๋าตัวเองได้ง่ายขึ้นหากกระเป๋าถูกรวมๆ อยู่กับกระเป๋าใบอื่นๆ และยังช่วยให้ไม่ถูกหยิบสลับสับเปลี่ยนไป ป้องกันการถูกขโมยได้ระดับหนึ่ง และสีกระเป๋าที่อ่อนจะทำให้กระเป๋าเปื้อนง่าย
8.รูปแบบการท่องเที่ยวและลักษณะการเดินทางในทริป
นักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางต่างประเทศ นักท่องเที่ยวสายชิลล์ ชอบเที่ยวตามเมืองต่างๆ นอนโรงแรม หรือนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ ชอบเดินเขาเข้าป่า กางเต็นท์หรือนอนโฮสเทล ต่างก็ต้องเลือกกระเป๋าที่เหมาะสมกับรูปแบบการท่องเที่ยวของตนเอง เพื่อความสะดวกสบายในการท่องเที่ยวมากที่สุด
หากในทริปมีการเดินทางหลายรูปแบบ แนะนำให้เลือกกระเป๋าถือที่มีน้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย หรือกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบมีล้อในตัว เพราะสามารถเลือกสะพายหรือใช้ล้อลากก็ได้ อีกทั้งยังเหมาะกับการยกเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระบนเครื่องบิน บนรถไฟ รวมถึงบนรถบัสอีกด้วย
หากเดินทางด้วยเครื่องบิน จะต้องรู้ไว้ก่อนเสมอว่าสายการบินมีการจำกัดน้ำหนักของกระเป๋า ทั้งกระเป๋าที่โหลดลงใต้เครื่องและกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง จึงควรเลือกกระเป๋าเดินทางที่สามารถถือได้ด้วยตนเอง สามารถยกขึ้นรถ เดินทางไปสนามบิน และเช็คอินได้อย่างสะดวก รวมถึงกระเป๋าใบที่ถือขึ้นเครื่อง ควรยกขึ้นเก็บบนช่องเก็บสัมภาระเหนือหัวได้อย่างสะดวก
หากเดินทางด้วยเรือ กระเป๋ามักจะถูกกองรวมกันไว้ในท้องเรือ ฉะนั้นจึงควรเลือกกระเป๋าที่มีความแข็งแรง เมื่อถูกวางทับด้วยกระเป๋าใบอื่นๆ กระเป๋าจะไม่เปลี่ยนรูปและช่วยป้องกันของภายในกระเป๋าไม่ให้รับน้ำหนักมากเกินไป จนเกิดความเสียหายได้
สำหรับทริปมีการเดินเป็นส่วนมาก ควรเลือกกระเป๋าที่สามารถยกและเคลื่อนย้ายได้สะดวกในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินข้ามถนน การขึ้นบันได การขึ้นลิฟต์ การขึ้นรถเมล์ การขึ้นรถไฟ เป็นต้น จึงควรเลือกกระเป๋าเป้แบบแบ็คแพกเกอร์ หรือจะเป็นกระเป๋าแบ็คแพ็กเกอร์แบบมีล้อลากก็สะดวกดีเหมือนกัน
การเดินทางด้วยรถดูจะง่ายที่สุด เพียงเลือกกระเป๋าที่สามารถใส่ลงในช่องเก็บของในรถได้ก็เป็นอันจบ
9.ราคาของกระเป๋า และการรับประกัน
กระเป๋าที่มีราคาสูงจะมีคุณภาพดีกว่า เพราะทำจากวัสดุที่มีคุณภาพมากกว่า แต่กระเป๋าที่มีราคาสูงจนเกินไป หรือมีลักษณะเป็นแฟชั่นสะดุดตา ก็อาจต้องตาเหล่าขโมยได้ ควรเลือกกระเป๋าที่มีคุณภาพดีราคาเหมาะสม อย่าเลือกซื้อกระเป๋าที่ราคาถูกจนเกินไป เพราะกระเป๋าถือเป็นสิ่งที่เก็บรักษาข้าวของเสื้อผ้าของเราไว้ กระเป๋าที่ราคาถูกอาจพังและต้องเสียเงินซื้อใหม่ทุกปี ฉะนั้นจ่ายเพิ่มอีกสักนิดแต่ได้กระเป๋าเดินทางที่มีอายุการใช้งานได้นานกว่า ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่า นอกจากนี้ควรอ่านเงื่อนไขการรับประกันก่อนซื้อให้ดี
ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่
ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com