บันทึกการเดินทาง เขาหลวง สุโขทัย กับประสบการณ์ไม่คาดฝัน การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเพื่อนคนหนึ่งเกิดอยากสูดกลิ่นไอธรรมชาติให้เต็มปอดสักครั้ง หลังจากทำงานหนักตรากตรำในเมืองหลวงมาทั้งปี ทริปเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2562 เป็นทริปลางานหนึ่งวันที่ผมและเพื่อนเผื่อวันอาทิตย์เศษนั้นไว้พักขาครับ เพราะหนุ่มสาวออฟฟิศอย่างเราๆ เนี่ย นานๆ ทีจะได้ไปเดินขึ้นเขา น่าจะต้องปวดระบมกันบ้าง เลยเผื่อเวลาพักเอาไว้วันหนึ่งเต็มๆ เลย ทริปนี้บอกเลยว่า โหด มัน ฮา กับอีกสารพัดเรื่องไม่คาดฝัน ที่ถือเป็นความทรงจำดีดีและรีเฟรชร่างกายให้กลับมาพร้อมสู้งานอีกครั้งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 14 พฤศจิกายน 2562 ช่วงเวลาหกโมงเย็นนิดๆ ผมนัดเจอเพื่อนๆ ที่ สถานีขนส่งหมอชิต โดยวางแผนกันไว้ว่าจะไปซื้อตั๋วสดกันที่หน้างานเลย เรียกได้ว่าเริ่มทริปก็มีเรื่องให้ลุ้นแล้ว ด้วยความที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวมืออาชีพ พวกเราเลยไม่รู้ว่า ตั๋วรถทัวร์ไปสุโขทัยมันจะมีให้เรารึเปล่านะ แต่สุดท้ายหลังจากรวมตัวกันครบ เราก็ไปซื้อตั๋วกัน ตั๋วไปกลับ รวมราคาอยู่ที่ประมาณ 500-600 บาทเท่านั้นเอง แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผมลืมพาวเวอร์แบงค์ แถมโทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้ชาร์ตให้เต็มซะด้วยสิ แต่ถือว่าโชคดีที่เซเว่นในตัวสถานีขนส่ง มีขาย ผมเลยรอดหวุดหวิดไปกับเรื่องพาวเวอร์แบงค์ แต่ก็ยังไม่วาย มีเรื่องของแบตมือถือของเราสามคนที่กำลังจะหมดลง พวกเราเดินวนหาร้านก็เจอแต่ร้านที่รับชาร์ต แต่เราอยากจะเล่นไปด้วยนี่สิ สุดท้ายเลยไปตกลงกันที่ร้านชานมไข่มุกแห่งหนึ่ง ที่อนุเคราะห์ให้เราได้ดูดไข่มุกไปด้วย ชาร์ตแบตไปด้วย เล่นโทรศัพท์ไปด้วยได้อย่างสะดวกสบาย เวลาที่เราจะต้องขึ้นรถทัวร์คือช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม หลังจากนี้เราควรจะนอนพักเอาแรงบนรถเพราะพวกเราจะต้องเดินขึ้นเขากันตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขัน เราหวังว่าภาพจะตัดไปอย่างรวดเร็ว เพราะถึงจะนั่งชั้นบนข้างหน้าต่าง แต่วิวด้านนอกก็มืดมนจนไม่มีอะไรให้ชม ครั้นจะมาเล่นโทรศัพท์ก็กลัวจะเปลืองแบตไปหน่อย การนอนเลยเป็นคำตอบ แต่ปรากฏว่า พวกเรานอนไม่หลับ ผ่านไปสักประมาณ 2 ชม เวลาเกือบเที่ยงคืน ผมเริ่มสะลึมสะลือกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว รถเจ้ากรรมดันเปิดไฟจ้า ประกาศว่าจะมีอะไรให้แวะพักกินข้าวกันก่อนนะ คือ จะหลับอยู่แล้วก็ตื่น พอตื่นละก็ต้องมาบิ้วท์ตัวเองกันใหม่ เรียกได้ว่า ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย จนกระทั่งถึงบริเวณจุดจอดรถ อำเภอคีรีมาศ สถานที่เตรียมตัวของเราจุดแรก 15 พฤศจิกายน 2562 ช่วงเวลา ตีสามนิดๆ เรามาถึงด่านแรกแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือหาห้องน้ำห้องท่า ผมและเพื่อนผู้ชายอีกคนไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ผู้หญิงนี่สิ จะไปหาห้องน้ำที่ไหน มีเพียงเซเว่นตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างรอบตัว ไม่มีรถราผ่านไปมาเลย ความมืดก็ยังครอบคลุมรอบพื้นที่ อากาศเย็นชื้น ความง่วงก็ชวนปวดหัวเหลือเกิน เราตกลงกันว่าควรจะซื้ออาหารแห้ง มาม่า ของกิน ขึ้นไปหน่อย ก็เลยตกลงกันว่าจะรวมเงินกันเป็นกองกลางแล้วซื้อ ได้ไข่ มาม่า ขนม และน้ำอีกหน่อยมาไว้กับตัวก็อุ่นใจ เพราะคิดไว้แล้วว่า ด้านบนนั้น อาหารการกินจะต้องแพงระยับแน่นอน ผ่านไปประมาณช่วงตีห้า หลังจากนั่งรอให้มีรถโดยสารผ่านมาเพื่อพาเราไปที่อุทยาน ในที่สุดก็ได้เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังตกลงกับลุงอยู่ แน่นอนเราไม่พลาดที่จะไปขอแจมกับเค้าด้วย จำได้ว่า ค่าโดยสารตกอยู่ที่คนละ 100 บาทโดยประมาณ การเดินทางไปอุทยานนั้น ตอนแรกก็นึกว่าจะแค่ครู่เดียว แต่เปล่าเลย ใช้เวลากันเป็นครึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึง เรานั่งกันที่ท้ายกระบะ ปล่อยให้ลมหนาวตีหน้าไล่ความง่วงออกไป จนกระทั่งถึงอุทยาน แต่ปรากฏว่า เรามาเร็วเกินไป อุทยานเปิด 7 โมงเช้า โอ้พระเจ้าจอร์จ !! เราก็ได้แต่รอกันไปท่ามกลางความมืด จนกระทั่งแสงแรกค่อยๆ สาดลงมานั่นแหละ เราถึงได้เริ่มชื่นชมความงามของเขาหลวงแห่งนี้ หลังจากจัดแจงเรื่องค่าธรรมเนียมการขึ้นเขาและเต้นท์กันเรียบร้อยแล้ว (ผมจำค่าเต้นท์และค่าธรรมเนียมไม่ได้จริงๆ แต่เลือนลางว่า ราคาจะไม่เกิน 300 บาทเมื่อรวมทุกอย่างแล้ว) ในที่สุด ก็ได้เวลาเดินขึ้นเขาจริงๆ กันสักที เราแวะไหว้พระเพื่อความเป็นศิริมงคลที่บริเวณทางเข้า แล้วเริ่มเลือกไม้ค้ำที่วางอยู่ทั่วบริเวณนั้นขึ้นไปด้วย เป็นไม้คู่ใจ การเดินขึ้นไปอย่างที่บอกสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศแล้ว เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกันนะ แต่ธรรมชาติรอบตัวมันก็ชวนให้เรารู้สึกดี แม้เหงื่อจะไหลกันแบบไม่ขาดสาย แถมเสียงหอบเหนื่อยก็ดังอยู่ตลอดเวลา จนในสมองมีเพลง ฉันมาทำอะไรที่นี่ ของพี่เบิร์ด ดังอยู่ตลอดเวลา จริงๆ เราจะฟังเพลงก็ได้ แต่เพราะใจรักธรรมชาติ ผมอยากได้ยินเสียงลมเสียงไม้และการเดินอย่างมีสมาธิซะมากกว่า ช่วงที่เดินขึ้นไปก็เลยมีแต่เพลงดังในหัวเท่านั้น จริงๆ ช่วงที่ขึ้นไปแรกๆ ที่ยังไม่เหนื่อย เป็นเพลง Good Morning Teacher ของ อะตอม ชนกันต์ ก่อนที่เพลงพี่เบิร์ตจะแทรกเข้ามานะ ฮ่าๆ แล้วพอถึงจุดชมวิวแรกเท่านั้นแหละ สมองก็เรียกเพลง ศรัษธา ของ หิน เหล็ก ไฟ ออกมาอย่างรวดเร็ว ระยะทางในแต่ละจุดพักนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ยาวเลย และความชันนั้นเทียบไม่ได้กับภูกระดึง แต่เราก็เหนื่อยกันอยู่ดี ระหว่างทางเราแวะพักตรงตะเคียนคู่ ได้เจอหุ่นชุดไทยก็หลอนๆ อยู่ แต่เพราะความเหนื่อยล้าเราเลยไม่รู้สึกอะไรมาก ผมเดินขึ้นไปต่อเรื่อยๆ โดยมีเพื่อนผู้ชายนำไปก่อนไกลแล้ว และมีเพื่อนผู้หญิงรั้งท้ายอยู่ เราคอยเรียกกันตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำมากๆ นะ พอไปถึงช่วงไทรงาม เพลงในหัวก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง รอบนี้เป็น อีกประเดี๋ยว โดย สุเมธ แอนด์เดอะปั๋ง ผมยังจำได้ว่าเกือบหลุดเส้นทางเข้าไปในดงป่าไผ่ด้วย เป็นเรื่องดีที่เอะใจได้เสียก่อน เลยรอดตัวไป ต้นไทรที่นี่งามจริงๆ แสงที่ลอดมาตามกิ่งไม้ทำให้ต้นไทรต้นนี้ดูสง่า น่าตื่นตะลึงและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน ช่วงสุดท้ายก่อนที่เราจะไปถึงยอด เพลงเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากวนเวียน อีกประเดี๋ยวมานานจนหอบแฮ่กๆ ซิงเกิ้ลที่ปล่อยในสมองตอนนี้กลายเป็น ภาพลวงตา โดย ดา เอ็นโดรฟิน แต่มันก็เป็นแค่ภาพลวงตาจริงๆ เพราะทางที่คิดว่าไกลนั้น ในที่สุดก็ไปถึง ณ จุดที่เป็นยอดด่านที่สองของการมาขึ้นเขาหลวง แน่นอนว่าเราจัดแจงเรื่องเต้นท์ที่พักกันให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ ในวันที่ไปนั้น คนน้อย ทุกอย่างดูสงบเงียบ ผิดกับภูกระดึงมากๆ เรานั่งลงพักในเต้นท์ บรรยากาศรอบตัวปลอดโปร่งโล่งสบาย ความเหน็ดเหนื่อยยังคงอยู่ แต่ผมคิดว่ามันเพราะเรื่องอดนอนซะมากกว่า ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับไปตลอดบ่ายซะอย่างนั้น จนกระทั่ง มีไก่ ใช่ครับ ไก่จริงๆ นะ มาจิกเต้นท์เราเป็นการยกใหญ่นั่นแหละ พวกเราถึงจะตื่นกัน ผมคิดว่าคงต้องอาบน้ำกันสักหน่อย เลยเดินไปอาบน้ำกันที่มุมหนึ่งของลานกางเต้นท์ เนื่องจากเป็นการมาเที่ยวแบบสมบุกสมบัน แน่นอนว่าเราต้องอาบน้ำเย็น คือถ้ามันเป็นน้ำเย็นเฉยๆ ก็คงน่าจะสดชื่นอยู่หรอก แต่น้ำเย็นบนเขาแห่งนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับเอามีดมาแทงกันชัดๆ !! แผนการต่อมาของพวกเราก็คือ การไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาพระแม่ย่า การเดินทางนั้นพอได้เจอนักท่องเที่ยวอยู่บ้างแบบบางตา เราเดินกันไป ถ่ายรูปกันไป คือบนยอดเขาที่นี่ ทุกอย่างดูสวยงามไปหมด ทั้งพืชพันธุ์แปลกตา ทั้งอากาศที่บริสุทธิ์ เรียกได้ว่า ความเหนื่อยไม่ทำให้เดือดร้อนสักเท่าไหร่เลย ภาพของพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า พร้อมกับแสงสีทองสาดมาบนเขาและตัวเรา ทำให้รู้สึกว่า พลังชีวิตได้กลับมาอีกครั้งแล้ว ขากลับดูเหมือนจะมีเรื่องกันอีกครั้งแล้ว ผมลืมไฟฉาย !! ขณะที่มัวแต่ดื่มด่ำกับภาพพระอาทิตย์ตก ก็ลืมเอาไฟฉายมาได้ซะนี่ โชคดีที่ยังพอเดินกันไปถูก เลยรอดปลอดภัย พร้อมกับมื้ออาหารในคืนนี้ที่เป็นของง่ายๆ อย่างมาม่ากับไข่ ที่ฟินไปถึงดาวอังคาร 16 พฤศจิกายน 2562 เช้าตรู่ราวตีห้า เพื่อนสาวของเราท่าจะไม่ไหว ขอนอนเงียบๆ ในเต้นท์คนเดียว ผมกับเพื่อนอีกคนเลยเดินขึ้นเขากันไปสองคน ภารกิจในเช้านี้ก็คือการไปจับจองพื้นที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ เขาพระนารายณ์ ทางเดินนั้นสั้นกว่าเขาแม่ย่าเมื่อวานมากๆ เพียงไม่นานก็ถึงจุดชมวิว ที่นี่มีหินผาให้เราได้ใช้ลูกเล่นในการถ่ายรูปแบบแปลกๆ กันด้วย และนี่คือรูปที่เพื่อนถ่ายให้ผม เรานั่งรอชมพระอาทิตย์ขึ้นกันอย่างเงียบสงบ บรรยากาศรอบตัวมีเพียงเสียงลมหวีดหวิววังเวง แต่กลับรู้สึกอุ่นใจและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมองแสงอุ่นๆ สีทองค่อยทอมาจนต้องใบหน้า เป็นการเติมพลังก๊อกที่สองให้กับชีวิตคนเมืองที่ต้องพบเจอแต่ตึกรามบ้านช่อง ฝุ่นควันและมลพิษ ได้เป็นอย่างดี และก็ถึงเวลาของการเดินลงเขากันแล้ว เรื่องไม่คาดฝันเกิดตอนลงเขานี่หล่ะ เพราะผมกับเพื่อนอีกคนดันหลงออกนอกเส้นทางไปนิด เป็นความเบลอจากการนอนน้อยโดยแท้ โชคดีที่เราเอะใจกันก่อน เลยเดินกลับออกมาได้ และเริ่มเดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆกลับลานกางเต้นท์ เพื่อเตรียมตัวกลับกัน หลังจากทานอาหารง่ายๆ เป็นขนมปังกับนมเรียบร้อย พวกเราก็พร้อมเดินลงเขากันแล้ว เพราะรู้ว่าขาขึ้นเป็นอย่างไร ขาลงเราเลยเบาใจหน่อย เราไปกันอย่างรวดเร็ว เช้านี้วิทยุสมองทำงานแปลกไป เพลงในหัวเล่นอย่างร่าเริงด้วย Something Stupid ของ Michael Buble ซะงั้น แล้วตามด้วยเพลง The Queen of California ของ John Mayer ก่อนที่พอผ่านช่วงจุดชมวิวแรกลงมา พร้อมกับการทักทายนักเดินทางหน้าใหม่ที่สวนทางขึ้นมาว่าหนทางยังอีกยาวไกลแค่ไหน ผมเดินผ่านลูกหาบขนของที่มาพร้อมลำโพงเพลงโจ๊ะในตัว หลังจากนั้นวิทยุก็รวนและไม่สามารถสลัดเสียงเพลงโจ๊ะของลูกหาบเพลงนั้นได้อีกเลยจนกระทั่งถึงที่ราบอย่างปลอดภัย ช่วงจะถึงประตูชัยนั้น ขาอ่อนเปลี้ยจนเดินเหมือนคนเมาเลยทีเดียว เป็นการเดินทางผจญภัยเล็กๆ ที่สนุกและเหนื่อยดีจริงๆ แต่ไม่นึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย และเพลง ฉันมาทำอะไรที่นี่ ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป หลังจากเห็นภาพยอดเขานั้น นี่เป็นทริปในความทรงจำที่ทำให้ผมอยากไปพิชิตยอดเขาอื่นๆ อีกในประเทศไทย เป็นจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวผจญภัยของผม ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ ใครที่คิดจะเริ่มพิชิตยอดเขา ผมคิดว่า เขาหลวง สุโขทัยแห่งนี้ เป็นที่เริ่มต้นที่ดี ด้วยความที่ทางเดินไม่ได้ชันมาก รวมถึงระยะทางก็สั้นกว่าภูกระดึง เลยน่าจะเป็นการเปิดเส้นทางเดินเขาสำหรับมือใหม่ที่ดีทีเดียว ใช้เวลาเพียงแค่สองถึงสามวัน กับบรรยากาศที่ยากจะลืมเลือนและอยากให้คุณไปสัมผัสด้วยตนเอง เพราะภาพถ่ายและสิ่งที่ผมบรรยายไปก็ยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกประทับใจในทริปนี้