การเดินทางไปเกียวโตครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกในชีวิต และวัดทองหรือวัดคินคะคุจิก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเรา คนส่วนใหญ่พอได้ยินชื่อนี้ก็คงร้องอ๋อเพราะเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม ต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับที่นี่เพราะหนึ่งวันก่อนหน้านี้เราได้ไปเที่ยวที่วัดเงินหรือวัดกินคะคุจิมาแล้วและก็รู้สึกว่าตัวอาคารจะดูคล้ายกับบ้านสมัยโบราณของญี่ปุ่นที่สามารถเห็นได้ทั่วไปตามจุดท่องเที่ยวอื่น ๆ ซะมากกว่า ซึ่งผิดจากที่คาดไว้เลยคิดว่าวัดทองก็น่าจะเหมือน ๆ กันเพราะตัวอาคารของทั้งสองสถานที่นี้ถูกสร้างขึ้นจากแบบที่คล้ายคลึงกัน ที่แตกต่างก็น่าจะเป็นสีภายนอกของตัวอาคารเรากลัวขึ้นรถผิดสายแล้วหลงทางเลยรีบออกจากโรงแรมที่สถานีเกียวโตตั้งแต่หกโมงเช้าสุดท้ายเลยต้องมายืนสั่นหงึก ๆ ตากลมหนาวอยู่ตรงหน้าทางเข้าวัดอย่างเหงา ๆ หลังจากยืนรอกว่าสองชั่วโมงจนขาแข็งในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ออกมาเปิดประตูวัดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ยืนต่อแถวเข้าคิวรอยาวกันเป็นขบวนตอนเก้าโมงเช้า คนที่มาต่อแถวเรียงคิวกับเราตอนจะเข้าวัดเกือบทั้งหมดเป็นคนญี่ปุ่น มีทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ วัยรุ่น และที่เยอะที่สุดก็คือบรรดาเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นที่โรงเรียนพามาทัศนศึกษา มีชาวต่างชาติปะปนอยู่บ้างแต่แทบไม่มีคนไทยเลย เราค่อนข้างแปลกใจแต่ก็แอบรู้สึกดีไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่าเวลาไปเที่ยวที่ไหนถ้าเจอทัวร์คนไทยเยอะ ๆ เราจะรู้สึกอินกับบรรยากาศได้ไม่เต็มที่ หันซ้ายหันขวาก็ได้ยินแต่ภาษาไทยจนนึกว่าอยู่ที่ไทย แต่พอถูกห้อมล้อมไปด้วยคนญี่ปุ่นเลยรู้สึกว่ามาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆ หลังจากจ่ายค่าเข้าชมวัดเสร็จสรรพเราก็เดินไปตามทางจนกระทั่งถึงบริเวณจุดถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นด้านหน้าอาคารกับตัวอาคารของวัดทองได้อย่างชัดเจน วินาทีแรกที่ได้เห็นวัดทองเต็ม ๆ ตาเราอึ้งไปเลยเพราะมันสวยมาก สวยมากจริง ๆ สวยจนไม่อยากละสายตา ด้วยความที่อยากจะยืนมองไปนาน ๆ และจดจำภาพที่เห็นไว้ในใจให้ได้มากที่สุดเราเลยไปหาที่เหมาะ ๆ และยืนหลบไม่ให้เกะกะขวางทางนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ แล้วก็จ้องอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที เราพยายามใช้สายตาสำรวจทุกซอกทุกมุมของตัวอาคารแต่ละชั้นอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ด้านล่างที่เปิดให้เห็นเป็นห้องโถงไล่ขึ้นไปที่ชั้นสองและชั้นสามที่ถูกฉาบไว้ด้วยสีเหลืองทองจนถึงยอดด้านบนสุด พอรู้สึกอิ่มเอมกับภาพตรงหน้าแล้วเราก็หันไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ บ้างทั้งบ่อน้ำที่อยู่ด้านหน้ากับสวนรอบ ๆ อาคารที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกไล่เรียงกันทั้ง ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นโขยงยืนล้อมหน้าล้อมหลังกับเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาเด็กนักเรียนที่ร้อง สุโค่ย สุโค่ย ตลอดทาง แต่อาจจะด้วยบรรยากาศหน้าหนาวของเดือนธันวากับตัวอาคารวัดสีเหลืองทองอร่ามที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มันทำให้เรารู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์แล้วก็เย็นสงบอย่างประหลาด หลังจากยืนมองอยู่นานก็ได้เวลาเปิดกระเป๋า หยิบมือถือ และลงมือถ่ายรูปรัว ๆ ไปเลยจ้า จริง ๆ แล้วบริเวณวัดก็ไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไรเดินสิบยี่สิบนาทีก็ทั่วหมดแล้ว แต่เราใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการดื่มด่ำซึมซับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า บทความนี้ไม่ได้รีวิวการเดินทางไปที่วัดทอง หรือประวัติความเป็นมาที่มีสาระใด ๆ แต่เป็นการรีวิวความรู้สึกในใจของเราที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ล้วน ๆก่อนออกจากโรงแรมเราเช็คพยากรณ์อากาศปรากฏว่าท้องฟ้าจะมีเมฆมากแต่ถ้าโชคดีก็อาจจะมีแดดออกบ้างเป็นบางส่วน ในช่วงเวลาชั่วโมงกว่าที่อยู่ในวัดเราสังเกตว่าสภาพท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสามารถสร้างโมเมนต์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ทั้ง ๆ ที่เป็นสถานที่เดียวกันในระยะเวลาเดียวกัน ช่วงที่ฟ้าปิดมีแต่เมฆสีเทาหนาทึบเป็นฉากหลังชวนให้รู้สึกอึมครึมแต่ก็ยิ่งทำให้ตัวอาคารสีทองที่ตั้งเด่นเป็นสง่าดูงดงามน่าเกรงขามมากขึ้น ช่วงฟ้าเปิดท้องฟ้าสีสันสดใสที่ตัดกันกับสีทองของตัวอาคารรวมกับเงาสะท้อนบนผิวน้ำที่ชัดเจนราวกับกำลังมองทะลุกระจกก็ชวนให้รู้สึกมีชีวิตชีวาน่าตื่นเต้น และโมเมนต์ที่จับใจเรามากที่สุดคือช่วงที่กลุ่มก้อนเมฆเคลื่อนตัวแยกออกจากกันอย่างช้า ๆ เปิดทางให้แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องลงมากระทบกับฐานของอาคารเรื่อยขึ้นไปจนถึงสัญลักษณ์ของนกฟีนิกซ์ อาจจะฟังดูบ้าแต่สำหรับเรามันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ ๆ ตัวอาคารก็มีชีวิตขึ้นมาแล้วก็เงยหน้าหลับตาพริ้มรอรับแสงเพื่อให้ตัวเองได้เปล่งประกายระยิบระยับต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทั้ง ๆ ที่มาโดยไม่ได้คาดหวังอะไร แต่กลับได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่สวยงามมากมาย เรารู้สึกโชคดีที่ได้มีโอกาสพาตัวเองมาอยู่ในที่ที่มีความสุข จากรูปภาพสองรูปด้านล่างถ้ามองผ่าน ๆ อาจะดูเหมือนกัน แต่ถ้าลองดูดี ๆ จะพบว่าสีทองของตัวอาคารในรูปแรกจะสว่างกว่าสีของตัวอาคารในรูปที่สอง ความแตกต่างของทั้งสองภาพนี้เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากที่กลุ่มก้อนเมฆเริ่มเคลื่อนที่เข้าหากันอีกครั้ง เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่เราได้ค้นพบโดยบังเอิญระหว่างการถ่ายรูปคือ การที่ต้องยืนรออย่างอดทนเพื่อให้ได้บรรยากาศที่สามารถดึงดูดความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่และชัดเจนมากที่สุด ยิ่งต้องใช้ความอดทนมากเท่าไหร่ภาพที่ออกมาก็จะยิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้นหมายเหตุ รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน🗺 แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “ท่องเที่ยว”