ฉันเชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่ชอบเที่ยว ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบเที่ยวมาก ทั้งในจังหวัด ต่างจังหวัด รวมไปถึงกรุงเทพฯ ฉันมากรุงเทพบ่อยมาก บ่อยจนเพื่อนถามว่า แกเป็นคนพะเยาไม่ใช่หรอ ฟังคำพูดของเพื่อนแล้ว อยากจะย้อนถามไปเหมือนกันว่า คนต่างจังหวัดไปเที่ยวไกลไม่ได้หรือ และฉันก็เชื่อว่า แต่ละคนคงมีสถานที่ประทับใจที่หลากหลาย แต่สำหรับฉันนั้น ก็คือชุมชนเล็กๆ ชุมชนหนึ่ง ซึ่งเป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีชื่อว่า กุฎีจีน ที่ประทับใจนั้นไม่ใช่ขนม แต่อย่างใด และก็ไม่ใช่วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ได้เห็น ทริปของฉันเริ่มต้นที่แถวๆ สะพานพุทธ พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีกสองคนก็คือคุณแม่และคุณลุง หลังจากลงรถเมล์สาย 56 ที่หน้าโรงเรียนศึกษานารีแล้ว เราเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ก่อนจะแวะเข้าไปในวัดประยูรวงศาวาส และแวะถ่ายรูปที่เขามอจำลอง ก่อนจะเดินต่อไปยังชุมชนกุฎีจีน ชุมชนนี้เป็นชุมชนที่สร้างบ้านด้วยไม้หันหน้าเข้าหากัน อยู่กันอย่างสงบสุข ขนมที่ขึ้นชื่อในชุมชนนี้คือขนมฝรั่งกุฎีจีน ขนมนี้เป็นขนมที่รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกส เป็นขนมอบ ส่วนผสมก็จะมี แป้งสาลี ไข่เป็ด และน้ำตาลทราย จะกรอบข้างนอกนุ่มใน ด้านบนจะโรยด้วยน้ำตาลทราย เป็นขนมที่รสชาติคล้ายขนมไข่ ก่อนจะกลับก็มีขนมติดไม้ติดมือมาคนละถุงสองถุง ถ้าไม่ซื้อก็เหมือนมาไม่ถึงชุมชนกุฎีจีน ออกจากร้านขนม เราก็แวะเข้าไปที่โบสถ์ซางตาครูส เป็นโบสถ์คริสต์อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นโบสถ์ที่สวยงามมาก ก่อนเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เราเดินผ่านศาลเจ้าเทียนอันกง หลังจากนั้นก็แวะเข้าไปเที่ยวชุมชนมัสยิดบางหลวง ออกจากชุมชุนนี้แล้วก็แวะไปไหว้พระ ที่วัดกัลยาฯ ทำให้ฉันสงสัยว่าเมื่อก่อนเขาอยู่กันได้อย่างไร มีทั้งชาวพุทธ คริสต์ มุสลิมและจีน โดยที่ไม่มีความขัดแย้งตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยได้ยินข่าวชุมชนนี้มีความขัดแย้งกันเลย ฉันอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้ไม่นาน ก่อนจะเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังวัดอรุณ ฯ และเดินชมความงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา ออกจากวัดกัลยาฯ เราพยายามหาทางไปวัดอรุณ ฯ โดยไม่ใช้เรือต่อไป (เพราะเป้าหมายของเราก็คือเดินไปวัดอรุณ) พวกเราเดินไปเรื่อยๆจนถึงโรงกรองน้ำ คุณลุงของฉันก็เดินเข้าไปเพื่อจะใช้สะพานภายในโรงกรองน้ำ เพราะคิดว่ามันก็ใช้ได้เหมือนกัน พวกเราจึงเดินตามคุณลุงไป เกือบถึงอยู่แล้วเชียว ก็มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ราชการไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า แม่ของฉันจึงบอกว่า พวกเรากำลังหาทางไปวัดอรุณเขาจึง แนะนำให้เราขึ้นบันไดเวียน 2 ชั้นข้ามสะพานเหล็กที่อยู่ด้านข้างโรงกรองน้ำแทน ตอนที่ขึ้นไปนี่เสียวนะเพราะบันไดมันทั้งแคบทั้งชัน แต่นึกขึ้นได้ว่ามี สว ร่วม ทริป มาตั้งสองคนยังไม่เห็นบ่นเลย เอาละวะ สู้โว้ย เราจะแพ้คนแก่ไม่ได้ (อิอิ) และแล้วก็ถึงวัดซะที วัดสายตาประกอบแว่น เอ๊ย วัดโมลีฯ เรารีบลงบันใดแล้วเลี้ยวซ้าย ก่อนที่จะถามทางผู้คนที่อยู่แถวนั้น เพื่อจะไปวัดอรุณ "เดินตรงไปเดียวก็ถึง" หญิงคนหนึ่งบอกฉัน ฉันรีบกล่าวขอบคุณ แล้วเดินตามทางที่เธอบอก เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆอาการเหนื่อยเป็น หมาหอบแดดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นพระปรางค์สีขาวรายล้อมด้วยตุ๊กตาจีนอยู่ด้านหน้าแม่เจ้าโว้ยสวยมากสวยจนอดยกกล้องมาถ่ายรัวๆไม่ได้ ทริปครั้งนี้นอกจากจะได้ทำบุญ ได้ภาพสวยๆ ยังทำให้ความคิดฉันเริ่มเปลี่ยนไป จากที่ไม่เคยยอมรับความแตกต่าง ไม่ชอบคนต่างวัฒนธรรม ก็เริ่มยอมรับความแตกต่างมากขึ้นซึ่งสวนทางกับกระแสความหวาดกลัว คนที่มีความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ทำไมต้องแบ่งแยก พวกเขาพวกเรา เราควรยอมรับความแตกต่างไม่ใช่หรือ ทำไมเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เขายังอยู่ด้วยกันได้ แต่พอวันเวลาผ่านไป เรากลับมากลัวกันเอง ฉันจึงอยากให้เรื่องราวของฉันเป็นแรงเบันดาลใจให้ผู้อ่านเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนต่างวัฒนธรรม