สวัสดีค่ะ วันนี้แอดก็จะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวปายกัน เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยไป ปายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ แถมบรรยากาศก็ดีอีกด้วย เหมาะสำหรับการไปพักผ่อนเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะไปปายในช่วงเดือนพฤศจิกาหรือธันวาคม เนื่องจากเป็นหน้าหนาว อากาศกำลังดีเลย การเดินทางมายังปายมีหลายวิธีด้วยกัน คือ เครื่องบิน รถตู้โดยสาร นำรถส่วนตัวมา โดยแอดจะขอเอาเชียงใหม่เป็นจุดเริ่มต้นละกันนะคะ ราคารถตู้โดยสารจะประมาณ 150 บาทค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทางจากเชียงใหม่ประมาณ 150 กิโลเมตร การเดินทางแบบนี้ก็เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว หรือแค่อยากไปพักผ่อนชิล ๆ ถ้าไม่ชำนาญเส้นทางก็แนะนำว่าใช้บริการรถตู้จะดีกว่า ส่วนตัวแอดเองเป็นสายลุยค่ะ แอดแว้นมอเตอไซด์มาเองเลย ถ้าเป็นพวก scoopy-i แอดใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงเลย เนื่องจากวันนั้นฝนตกนิดหน่อย แถมยังแวะพักถ่ายรูป กินกาแฟระหว่างทางอีก แต่ถ้าเป็น Honda CRF 250 ละก็ ประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ ค่ะ ถ้าขับรถมาเองก็ขับด้วยความระมัดระวังนะคะ โค้งเยอะมาก ก็ค่อย ๆ ขับ กินลมชมวิวไปจะดีกว่า โดยระหว่างทางก็จะมีร้านอาหาร คาเฟ่ และจุดชมวิวมากมายให้แวะพักได้เลย ถ้าขับมาถึงครึ่งทางก็จะมีคล้าย ๆ ศูนย์อาหาร ที่ขายอาหารและของฝาก อีกทั้งยังมีตู้เติมน้ำมันแบบหยอดเหรียญให้บริการด้วย หลังจากแว้นมาได้ 2 ชั่วโมงนิด ๆ แอดก็แวะพักที่ร้าน Coffee we เป็นร้ากาแฟที่มาในธีมแม่มด ร้านตกแต่งเก๋ดีนะคะ ส่วนกาแฟก็ถือว่าธรรมดาค่ะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ หลังจากพักทานกาแฟเสร็จแล้วก็เดินทางต่อเลยค่ะ ขับไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็เข้าสู้ตัวอำเภอปาย ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ ในที่สุดก็ถึงแล้ว ก่อนเข้าตัวเมืองก็ต้องมาแวะที่สะพานประวัติศาสตร์ปายเพื่อถ่ายรูปค่ะ เดี๋ยวเค้าจะว่ามาไม่ถึงปาย บริเวณนี้ก็จะมีร้านขายของฝากและอาหารของชาวบ้านบริการด้วยนะคะ เพื่อน ๆ สามารถเดินชมสะพานและถ่ายรูปได้ตามสบายเลย และแล้วก็ถึงเวลาเข้าที่พักค่ะ โดยที่พักที่ปายนั้นจะมีให้เลือกหลายแบบหลายราคาเลย ถ้าเพื่อน ๆ นำรถส่วนตัวมา ก็สามารถพักบริเวณรอบนอกได้ จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่ถ้านั่งรถตู้มาก็แนะนำให้พักบริเวณตัวเมืองค่ะ จะได้เดินทางสะดวก ถ้ามาปายช่วงหน้าหนาว ก็สามารถพักห้องธรรมดาที่เป็นพัดลมได้เลยค่ะ ราคาก็จะถูกลงมาอีก เชื่อเถอะว่ามาพักที่นี่ห้องแอร์ไม่จำเป็นเลย ตอนกลางคืนคืออากาศหนาวมากเลยค่ะ อย่าลืมพกเสื้อกันหนาวมาด้วยนะคะ ด้วยความเป็นห่วง หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อย ถ้าเพื่อน ๆ ยังมีเวลาเหลือก็สามารถแวะเที่ยวตามแลนด์มาร์กได้เลยนะคะ โดยทริปนี้แอดวางแพลนไว้ 2 วัน 1 คือ เลยอาจจะไม่ได้ไปทุกที่ แอดเลยเลือกไปสถานที่หลัก ๆ ละกัน ที่แรกแอดแวะที่ แผ่นดินแยก หรือ Land split ก็จะเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล โดยเกิดจากการยุบตัวของแผ่นดินทำให้เกิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามเลยค่ะ ค่าเข้าชมฟรีนะคะ แอดลงไปเดินสำรวจรอบ ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเลยค่ะ อย่าลืมพกน้ำไปด้วยล่ะ สำหรับใครที่ลืมละก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ ที่นี่จะมีซุ้มบริการน้ำผลไม้ ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ให้กับผู้เข้าชม โดยเราสามารถบริจาคเป็นค่าตอบแทนได้เลย อันนี้ไม่บังคับนะคะแล้วแต่เราเลย ไหน ๆ ก็มาเส้นทางนี้แล้ว แอดก็รวดแวะอีกที่เลยละกัน ขับจากแผ่นดินแยกมาประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึง สะพานบุญโขกู้โส่ โดยที่นี่จะเป็นสะพานไม้ไผ่ทอดยาวไปบนทุ่งข้าว ความยาวประมาณเกือบ 1 กิโลเมตรเลยค่ะ มีค่าเข้าชมประมาณ 20 หรือ 40 บาท เนี่ยแหละค่ะ ถือว่าเป็นค่าช่วยบำรุงรักษาสถานที่ละกัน เพื่อน ๆ สามารถเดินไปบนสะพาน หามุมถ่ายรูปได้ตามสบายเลย แอดแนะนำนะคะว่าควรมาช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม เพราะจะเป็นช่วงที่ชาวบ้านปลูกข้าว เพื่อน ๆ ก็จะได้รูปทุ่งข้าวที่เขียวขจีสวย ๆ แต่ถ้ามาช่วงอื่นละก็จากทุ่งข้าวที่สีเขียว ๆ ก็จะกลายเป็นพื้นที่นาที่โล่งเตียน ถือได้ว่าที่นี่เป็นจุดถ่ายรูปที่ดีเลยทีเดียว อากาศก็ดี สถานที่ก็สวย อย่าลืมมาในช่วงที่ชาวบ้านปลูกข้าวนะคะ มาต่อกันที่แลนด์มาร์กที่ 3 กันเลยค่ะ นั่นก็คือ ปายแคนยอน นั่นเอง ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 7 กิโลเมตร ค่าเข้าชมฟรีนะคะ สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากการทรุดตัวของดินที่อยู่บนภูเขาสูง เพื่อน ๆ สามารถเดินไปตามทางได้นะคะ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย เพราะว่าไม่มีที่กั้นให้ แอดเดินไปครึ่งทางก็เดินกลับละค่ะ แอดกลัวตก ใกล้จะ 6 โมง แล้ว แอดเลยเลือกที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่วัดพระธาตุแม่เย็นค่ะ เพื่อน ๆ ต้องเดินขึ้นบันไดขึ้นมา แอดใช้เวลาประมาณ 10 กว่านาทีเลย วันนี้เดินทั้งวัน สำหรับผู้หญิงที่ใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้นทางวัดมีบริการให้เช่าผ้าถุง ผืนละ 20 บาทนะคะ พอขึ้นมาถึงสักพักก็ถึงเวลาชมพระอาทิตย์ตกแล้วล่ะค่ะ ก็สวยดีนะคะ แต่แอดอยากเห็นท้องฟ้าสีส้ม ๆ แต่วันนี้ไม่ค่อยส้มเท่าไหร่ เอาล่ะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว แอดเลือกที่จะไปหาของกินที่ถนนคนเดินปาย ซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมือง โดยจะมีอาหาร เสื้อผ้า ของฝาก ให้เลือกหลากหลายตลอดสองข้างทางเลยค่ะ เกี๊ยวซ่ากับเคบับที่ถนนคนเดินปายอร่อยมากเด้อ บริเวณรอบ ๆ ถนนคนเดินก็มีร้านอาหารให้บริการด้วยนะ สำหรับคนที่อยากนั่งทาน พอถึงตอนเช้า ก็ได้เวลาเดินทางกลับ ก่อนกลับแอดก็แวะไปที่หมู่บ้านสันติชล หรือหมู่บ้านจีนยูนนาน อยู่ห่างจากตัวเมืองปายไปประมาณ 4 กิโลเมตรกว่า ๆ โดยที่นี่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมสถานที่ที่ตกแต่งสไตล์จีนยูนนาน มีทั้งบ้านดินที่เปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ขายชา หรือเป็นร้านอาหาร อีกทั้งยังมีบริการให้เช่าชุดสไตล์จีนด้วยนะคะ ราคาประมาณชุดละ 100 บาท ค่าเข้าชมสถานที่นั้นฟรีจ้า พื้นที่โดยรอบก็จะเป็นสนามหญ้ากว้าง ๆ มีม้าให้บริการด้วยนะคะ เอาไว้ขี่หรือถ่ายรูป น่าจะราคาประมาณ 100 บาท ถ้าแอดจำไม่ผิดนะ บริเวณด้านหลังของหมู่บ้านก็จะเป็นแปลงปลูกดอกไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้ค่ะ ก็จะมีดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์เลย แนะนำให้มาช่วงหน้าหนาวนะคะ เพื่อน ๆ จะได้รูปทุ่งดอกไม้ที่สวยงามเลยแหละ ในขากลับแอดเลือกกลับอีกเส้นทางนึง โดยขับผ่านอำเภอกัลยาณิวัฒนา แล้วไปโผล่ที่อำเภอหางดง แล้วเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมงเลยค่ะ ในระหว่างทางก็แวะบ่อน้ำพุร้อนเล็ก ๆ ค่าเข้าชมก็ฟรีอีกแหละ ทริปนี้เน้นฟรีไว้ก่อน บรรยากาศระหว่าง ปายไปยังอำเภอกัลยาณิวัฒนานั้นก็จะเป็นแบบชนบท มีทุ่งหญ้าเขียวขจีล้อมรอบ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศดีมาก แต่อากาศก็หนาวมากเช่นกัน แอดจำได้เลยค่ะตอนนั้นที่แอดไปเป็นช่วงต้นเดือนตุลาคม เวลาประมาณบ่าย 3 อุณหภูมิประมาณ 13-15 องศาเซลเซียส ตลอดเส้นทางขากลับแอดก็ต้องทนกับอากาศหนาวไป 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว เสื้อแขนยาวก็เอาไม่อยู่จ้า หนาวจริงๆ ถ้าหากเพื่อน ๆ นำรถมาเองก็สามารถขับมาเส้นทางนี้ได้นะคะ ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ