เราเดินทางออกจากอำเภอเมืองพังงา เวลา 13.00 น. ของวันที่ 20 มกราคม 2563 มุ่งหน้าไปอำเภอกะปง ตามถนนเพชรเกษม ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ถึงสามแยกปากหรา เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัดพังงาหมายเลข 4090 รวมระยะทาง 50 ก.ม. เป้าหมายปลายทางสุดท้ายการของเดินทางวันนี้อยู่ที่เขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า ซึ่งเราได้จองที่พักผ่านเว็บไซต์อะโกด้ามาล่วงหน้าแล้ว กะปง อำเภอทางผ่าน เป็นอำเภอขนาดเล็กที่ซุกซ่อนตัวอยู่ตรงใจกลางระหว่างขุนเขาสีเขียวขจี ตามประวัติเป็นที่ตั้งเมืองโบราณชื่อเมืองตะโกลา และเคยเป็นส่วนเดียวกันกับอำเภอตะกั่วป่าก่อนจะแยกพื้นที่การปกครอง เราแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑสถานเทพนารายณ์ภรณ์ ซึ่งอยู่ภายในวัดนารายณิการาม บ้านในเหล หมู่ที่ 3 ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา เจ้าอาวาสเป็นดำริริเริ่มผู้เก็บรักษาวัตถุโบราณ ภาพเหตุการณ์และของใช้ที่หลงเหลือจากเหตุการณ์สึนามิ รวมถึงของใช้ต่าง ๆ เครื่องไฟฟ้า วิทยุ โทรทัศน์ รุ่นเก่าที่มีผู้นำมาบริจาคให้วัด ที่น่าตกใจ คือ ซากงูจงอางขนาดใหญ่จำนวนมากที่ถูกสตาฟแสดงจำนวนนับสิบตัว ถึงจะเป็นซากแห้งก็ยังสร้างความตระหนกหวาดหวั่นได้ สถานที่แห่งนี้ ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นแหล่งขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี อาทิ เทวรูปพระนารายณ์ เทวรูปพระอิศวร และเทวรูปพระอุมา ซึ่งองค์จริงถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ที่นี่จึงมีเพียงภาพถ่ายและภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ให้ได้ศึกษาเท่านั้น จากการพูดคุยกับคนในท้องถิ่น ทราบว่า ชาวบ้านได้ขอให้ย้ายเทวรูปทั้ง 3 องค์กลับมาประดิษฐานที่อำเภอกะปง ซึ่งกรมศิลปากรได้อนุมัติให้สร้างพิพิธภัณฑ์ถาวรขึ้นที่อำเภอกะปงแล้ว เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ จะได้นำเทวรูปทั้ง 3 องค์กลับมาตามความต้องการของคนในท้องถิ่น จากอำเภอกะปง เราเดินทางต่อไปอีก 30 ก.ม. ถึงอำเภอตะกั่วป่า อาคารที่ว่าการอำเภอตะกั่วป่า หลังเก่าสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2472 ที่ถูกบูรณะใหม่ สีแสดสด สะดุดตา จนอดห้ามใจไม่ได้ที่จะต้องแวะเข้าไปชมใกล้ ๆ แล้วถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก จากตรงนี้ เราเร่งเดินทางต่อไป เพื่อให้ทันเห็นพระอาทิตย์ตกดินที่เขาหลัก และเพื่อที่อย่างน้อยผู้เขียนจะได้มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมชุดออกกำลังกายไปเดินยืดเส้นยืดสายที่ชายหาด หลังจากขับรถติดต่อกันยาวนานหลายชั่วโมง ระหว่างทางมองเห็นป้ายคัทเอาท์ เชิญร่วมรำลึกเหตุการณ์ภัยธรรมชาติสึนามิเมื่อ 15 ปีก่อน ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่พบเห็นที่วัดนารายณิการามทำให้เรารู้สึกหดหู่ใจ และเมื่อมาถึงสถานที่จริง แม้สิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ร้านค้า โรงแรมรีสอร์ท จะถูกฟื้นฟูก่อสร้างขึ้นใหม่ และผู้คนต่างใช้ชีวิตปกติ เราเองก็ยังรู้สึกเศร้าวังเวงใจอยู่ลึก ๆ อยู่ดี การมาที่นี่ เป็นความตั้งใจอย่างหนึ่งที่จะมาไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น และมาทำความรู้จักเขาหลักด้วยสายตาของตนเอง ชายหาดเขาหลักมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากที่ยังให้ความนิยมมาท่องเที่ยว พักผ่อน และเล่นน้ำทะเล ความสงบของคลื่นลมและความสวยงามของทะเลที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์ระยิบระยับ แม้ยามนั้นจะเป็นเวลา 17.00 น. แล้วก็ตาม เราเดินออกกำลังกายไปตามชายหาดระยะทางยาวกว่า 3 ก.ม. แล้วก็เดินกลับ ระหว่างที่เดินสังเกตเห็นต้นสนต้นหนึ่งแขวนภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิเอาไว้หลายภาพ แสดงความอาลัยถึงบุคคลอันเป็นที่รักที่จากไป เราเองก็ขอส่งพลังจิตอธิษฐานให้ดวงวิญญาณทุกดวงที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ภัยสึนามิครั้งนั้นจงสถิตในที่สุคติ และน้อมเอาเหตุการณ์นั้นเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ไม่ให้ประมาทในการมีชีวิตของเรา