'สะพานข้ามเเม่น้ำเเคว' เป็นสถานที่หนึ่งที่ผมอยากไปมานานเเล้วหลังจากได้เห็นความสวยงามเเละความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทางหน้าจอโทรทัศน์ เเต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปสักทีเพราะเมื่อก่อนผมทำงานอยู่ที่จังหวัดกระบี่ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่ผมได้โยกย้ายเข้ามาในกรุงเทพ ทำให้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนจังหวัด 'กาญจนบุรี' ในที่สุด และตอนนี้ ถ้าหากทุกท่านพร้อมเเล้ว เราไปเที่ยว 'กาญ' ด้วยกันเลยครับ **หมายเหตุ ภาพทุกภาพในบทความนี้ถูกถ่ายโดยเจ้าของบทความ (Callmepetchy) การเดินทางไปกาญจนบุรีสามารถทำได้หลายทางครับ ที่นิยมที่สุดน่าจะเป็นการโดยสารรถไฟจากสถานีธนบุรี หรือรถไฟนำเที่ยวจากสถานีหัวลำโพง (สอบถามเพิ่มเติมติดต่อที่เบอร์ 1690 การรถไฟเเห่งประเทศไทย) แต่พวกเราเลือกที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวไปครับ จากกรุงเทพก็ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ขับตาม Google Map ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็จอดพัก ถนนค่อนข้างดี ขับไม่ยากครับ จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่เกือบ 20000 ตารางกิโลเมตร ส่งผลให้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย เป็นรองเพียงเเค่จังหวัดนครราชสีมาเเละจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น มีระยะห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 130 กิโลเมตร ทั้งยังมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเมียนมาร์อีกด้วย แน่นอนครับว่าสถานที่เเรกที่เราไปกันก็คือ 'สะพานข้ามเเม่น้ำเเคว' สถานที่ที่ผมอยากมาเยือนที่สุดในทริปนี้ เป็นสะพานโครงเหล็กมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมโดดเด่น สะพานเเห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยแรงงานของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร เเละได้ถูกทำลายโดยเเรงระเบิด หลังจากนั้นรัฐบาลไทยได้ทำการบูรณะซ่อมเเซมขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ. 2489 พวกเราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบ ๆ สะพานข้ามเเม่น้ำเเควประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟถ้ำกระเเซ ซึ่งจากจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถไฟผ่านทางรถไฟสายมรณะ โดยมีค่าใช้จ่ายเเค่ 2 บาทต่อคนเท่านั้น เมื่อผ่านทางรถไฟสายมรณะ รถไฟจะจอดให้ผู้โดยสารลง เราก็จ่ายเงินที่เจ้าหน้าที่บนรถไฟได้เลยครับ รถไฟจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ผ่านจุดที่เป็นหน้าผาเเละถ้ำกระเเซ เป็นระยะทางประมาณ 400 เมตร เมื่อรถไฟเข้าเทียบที่ชานชาลา ผู้โดยสารก็ทยอยลงจากตัวรถ มีบางส่วนที่ยังคงนั่งไปต่อ จุดหมายปลายทางของรถไฟขบวนนี้จะเป็นสถานีน้ำตก (ไทรโยคน้อย) รวมระยะทางจากตัวเมืองกาญจนบุรีถึงน้ำตกโดยทั้งสิ้นประมาณ 77 กิโลเมตร ผมเเละนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่เริ่มเดินย้อนกลับไปตามรางรถไฟเลียบหน้าผา แม้อากาศจะร้อนเเต่ทิวทัศน์สองข้างทางก็ไม่ทำให้ใครถอดใจครับ ทุกคนต่างสนุกสนานกับการถ่ายรูปกับจุดชมวิวที่สวยที่สุดของทางรถไฟสายมรณะ เหตุที่ได้ชื่อว่า 'ทางรถไฟสายมรณะ' เป็นเพราะว่า ในอดีตทหารญี่ปุ่นได้เกณฑ์เหล่าเชลยจากฝ่ายสัมพันธมิตร มีนักโทษจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีเเลนด์ เป็นต้น รวมไปถึงเหล่ากรรมกรจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย เพื่อเร่งสร้างทางรถไฟที่เชื่อมสู่ประเทศพม่าเเละใช้ในการลำเลียงอาวุธ ระหว่างการสร้างสะพาน ทั้งความโหดร้ายของสงคราม การขาดเเคลนอาหารเเละโรคระบาด เป็นเหตุให้เชลยศึกนับหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง จึงถือว่าสะพานเเห่งนี้คืออนุสาวรีย์แห่งความโหดร้ายของสงคราม ไม่น่าเชื่อว่าจากสถานทีที่รวมความโหดร้ายของสงครามในอดีตได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในยุคปัจจุบัน พวกเราโบกมือลาทางรถไฟสายมรณะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ครับ 'น้ำตกเอราวัณ' 'น้ำตกเอราวัณ' ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อาณาเขตของอำเภอศรีสวัสดิ์ น้ำตกเเห่งนี้แบ่งเป็นชั้นต่างๆ ถึง 7 ชั้น เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามเเละมีชื่อเสียงของจังหวัดกาญจนบุรี ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 60 กิโลเมตรครับ ความสวยงามของที่นี่คือน้ำสีเขียวอมฟ้า หากมาตอนเช้า ๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าสีของน้ำจะสวยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว รวมไปถึงเหล่าปลาที่คอยเเหวกว่ายทักทายนักท่องเที่ยว พวกเราไปตอนเย็นจึงมีเวลาเดินเที่ยวชมความสวยงามไม่มาก เเต่บรรยากาศในบริเวณน้ำตกก็ทำให้ความเหนื่อยล้าในวันนี้หายเป็นปลิดทิ้งได้ในทันที สำหรับการเข้าชมน้ำตกเอราวัณ มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าเข้าอุทยานคนละ 100 บาท หลังจากชำระค่าบริการจึงเดินเข้าไปประมาณ 700 เมตร หากใครเดินไม่ไหวสามารถใช้บริการรถกอล์ฟได้ สนนราคาอยู่ที่ เที่ยวละ 30 บาทครับ เเล้วก็จบกันไปเเล้วนะครับสำหรับ 1 Day Trip กาญจนบุรี หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย สำหรับวันนี้ผมคงต้องขอตัวลาไปก่อน ไว้พบกันใหม่ในบทความต่อไป สวัสดีครับ :)