ในประเทศไทยมีพระราชวังที่เป็นสถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์มาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน แต่วันนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวชมพระราชวังโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ กันนั่นก็คือ “พระราชวังสนามจันทร์” จังหวัดนครปฐม ซึ่งพระราชวังแห่งนี้นอกจากจะมีบรรยากาศร่มรื่นสวยงามแล้ว ภายในพระราชวังยังมีเรื่องราวและสิ่งต่าง ๆ ที่น่าสนใจให้เราได้ศึกษาอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้วก็ตามเรามาได้เลยค่า ^^ “พระราชวังสนามจันทร์” เป็นพระราชวังเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์เพียง 1.6 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนบริเวณเนินปราสาท เพื่อเป็นสถานที่แปรพระราชฐานมายังจังหวัดนครปฐม โดยมีพระยาวิศุกรรมศิลปประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง เมื่อสร้างพระราชวังเสร็จ พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “พระราชวังสนามจันทร์” ปัจจุบันอยู่ภายในความดูแลของสำนักพระราชวังค่ะ เมื่อเดินมาถึงบริเวณประตูทางเข้าพระราชวังสนามจันทร์จะมีห้องจำหน่ายบัตรเข้าชม หากเที่ยวชมเฉพาะด้านนอกบริเวณรอบ ๆ พระราชวัง สามารถเดินหรือนั่งรถรางได้โดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่ถ้าต้องการชมภายในพระราชวังจะต้องเสียค่าบัตรเข้าชมในราคาคนละ 30 บาทเท่านั้น ที่สำคัญเลยก็คือ ควรแต่งกายสุภาพ ห้ามสวมเสื้อแขนกุด สายเดี่ยว กระโปรงหรือกางเกงสั้นเหนือเข่าเด็ดขาด สำหรับคนที่สวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นจะต้องซื้อผ้าถุงแบบป้ายของทางวังตัวละ 70 บาทใส่เข้าไปข้างในค่ะ พอก้าวเดินเข้าไปภายในเขตพระราชวังตั้งแต่ก้าวแรกก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันร่มรื่นเขียวจีของต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิดและดอกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกไว้ทั่วบริเวณ ให้เวลาเดินเที่ยวชมแล้วรู้สึกไม่ร้อนและเหนื่อยจนเกินไปนัก ซึ่งภายในพื้นที่พระราชวังสนามจันทร์ประกอบด้วยพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์, พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์, พระตำหนักทับขวัญ, พระตำหนักทับแก้ว, พระที่นั่งพิมานปฐม, พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี, พระที่นั่งวัชรีรมยา, พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์, เทวาลัยคเณศร์, พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และอนุสาวรีย์ย่าเหล นอกจากนั้นยังมีเรือนไม้สักที่เป็นเรือนพักของข้าราชบริพารและอาคารใช้สอยอื่น ๆ เช่น เรือนพระนนทิการ, เรือนพระนนทิเสน, ที่พักพระตำรวจหลวง, ที่พักราชองครักษ์ เป็นต้น ก่อนเดินเข้าไปชมภายในพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ก็จะมี “อนุสาวรีย์ย่าเหล” ตั้งอยู่ทางด้านหน้าอย่างโดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งอนุสาวรีย์ย่าเหลเป็นอนุสาวรีย์หรือรูปปั้นหล่อด้วยโลหะทองแดงรมดำขนาดเท่าสุนัขจริง ถือได้ว่าเป็นอนุสาวรีย์สุนัขแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย โดยย่าเหลเป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดปรานยิ่งนัก มีลักษณะเป็นสุนัขพันทาง ขนยาวปุกปุยสีขาวสลับน้ำตาลดำ หางเป็นพวง หูตก วันหนึ่งย่าเหลได้หนีเล็ดลอดออกไปนอกเขตพระราชฐานและถูกลอบยิงตาย ทำให้พระองค์ทรงโทมนัสเป็นอย่างมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานศพและสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้น พร้อมทั้งพระราชนิพนธ์คำไว้อาลัยจารึกไว้บนฐานที่ตั้งค่ะ หลังจากแวะชมอนุสาวรีย์ย่าเหลแล้ว เราเดินไปชม “พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์” กันต่อ ซึ่งพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ถือเป็นจุดไฮไลต์ที่เด่นที่สุดของพระราชวังสนามจันทร์เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อมองจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายปราสาทในนิทานหรือเทพนิยายกันเลยทีเดียว โดยพระตำหนักองค์นี้เป็นพระตำหนัก 2 ชั้นที่สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกคือ แนวเรอเนซองส์ของฝรั่งเศสผสมผสานกับแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ของอังกฤษ เพียงแต่ประยุกต์ให้เข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศในประเทศไทยที่หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรร กฤดากร สถาปนิกในสมัยนั้นเป็นผู้ออกแบบ ส่วนผนังด้านนอกทาด้วยสีไข่ไก่นวลตา มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีส้มแดงค่ะ เมื่อเข้ามาทางด้านในพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์แล้วจะต้องถอดรองเท้ากับฝากสัมภาระไว้ที่ Locker หน้าทางเข้า และห้ามถ่ายภาพภายในพื้นที่พระตำหนักและพระที่นั่งทุกองค์ในพระราชวังแห่งนี้ เนื่องจากเป็นห้องที่จำลองบรรยากาศในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่มีการจัดแสดงชุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่จัดแสดงในตู้กระจกและสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรม แต่สามารถถ่ายภาพได้เฉพาะบริเวณด้านนอกอาคารเท่านั้น ซึ่งพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ใช้สำหรับเป็นที่ประทับและที่บัญชาการของพระองค์ท่านในระหว่างซ้อมรบเสือป่าหรือเวลาที่เสือป่าเข้าประจำกอง โดยชั้นล่างเป็นห้องรอเฝ้าฯ และเคยใช้เป็นสำนักงานชั่วคราวสำหรับออกหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตรายสัปดาห์ในสมัยนั้น ส่วนชั้นบนมีห้องทรงพระอักษร ห้องบรรทม และห้องสรงค่ะ ชมภายในพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์จนทั่วแล้วก็เดินบนฉนวนทางเดินที่เป็นสะพานไม้ทอดยาวข้ามคลองด้านล่าง เพื่อไปชมภายใน “พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์” กันต่อ ซึ่งสะพานดังกล่าวมุงหลังคากันแดดด้วยกระเบื้องสีแดงและมีฝาผนังกั้นติดหน้าต่างกระจกทั้งสองฝั่งตลอดแนวความยาวของสะพาน โดยเชื่อมต่อระหว่างชั้นบนทางด้านหลังของพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์กับชั้นบนทางด้านหน้าของพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ค่ะ “พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์” เป็นพระตำหนัก 2 ชั้น ทาสีน้ำตาลแดง ใช้ไม้สักทองสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกของประเทศฝั่งตะวันตก แต่ปรับปรุงองค์ประกอบบางส่วนให้เหมาะสมกับภูมิอากาศแบบเมืองร้อน ซึ่งพระตำหนักองค์นี้สร้างคู่กับพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เพียงแต่ขนาดเล็กกว่า โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงใช้เป็นสถานที่เสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ในการศึกษาพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านค่ะ สำหรับคนที่มาเดินชมพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ก่อนพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ สามารถนำสัมภาระติดตัวไปได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะแจกถุงผ้าคนละใบสำหรับใส่รองเท้าและถือหิ้วไปขณะเดินชมพระตำหนัก เพื่อให้สามารถเดินลงอีกฝั่งหนึ่งได้โดยไม่ต้องเดินย้อนสะพานกลับมาอีก ส่วนเราเดินชมพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์เสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับไปรับรองเท้าและสัมภาระที่ฝากไว้ จากนั้นเดินไปชม พระที่นั่งพิมานปฐม” ที่อยู่ถัดจากพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ทางฝั่งซ้ายกันต่อค่ะ “พระที่นั่งพิมานปฐม” เป็นพระที่นั่งองค์แรกของพระราชวังสนามจันทร์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2450 ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้สร้างตามแบบตะวันตก คือ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ทาสีขาว-ทาสีเขียวเวอร์ริเดียนหรือสีเขียวน้ำทะเล ส่วนชายคา ช่องระบายลม กันสาด และลูกกรงของระเบียงตกแต่งด้วยแผ่นไม้ฉลุลายตามแบบเรือนขนมปังขิงอย่างสวยงาม โดยพระที่นั่งองค์นี้นอกจากจะใช้เป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะ, เสด็จฯ ออกว่าราชการแผ่นดิน และเสด็จฯ ออกให้ราษฎรเข้าเฝ้าฯ แล้ว ยังใช้เป็นที่ทรงพระอักษรเมื่อครั้งเสด็จมาประทับที่นี่อีกด้วยค่ะ ก่อนเดินเข้าไปชมภายในพระที่นั่งพิมานปฐมจะต้องถอดรองเท้าและฝากสัมภาระทั้งหมดไว้ในล็อกเกอร์ที่ด้านล่างบริเวณทางเข้า จากนั้นจะมีวิทยากรนำชมทั่วพระที่นั่งในแต่ละรอบเวลา รอบละไม่เกิน 20 นาที ซึ่งภายในพระที่นั่งมีหลายห้องด้วยกัน ได้แก่ ห้องบรรทม, ห้องสรง, ห้องบรรณาคม, ห้องภูษา และห้องเสวย นอกจากนั้นยังมี “ห้องพระเจ้า” ที่เป็นห้องพระประจำพระราชวังสนามจันทร์ มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธศาสนาและพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาประดิษฐานอยู่ภายในห้อง ด้วยความที่การจัดแผนผังภูมิสถาปัตย์ของห้องพระเจ้าในพระที่นั่งพิมานปฐมมีความสำคัญและน่าสนใจ ดังนั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงประกาศให้เป็นจุด UNSEEN ของจังหวัดนครปฐมกันเลยทีเดียว เนื่องจากสามารถมองเห็นองค์พระปฐมเจดีย์และเทวาลัยคเณศร์ อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันค่ะ จากนั้นก็เดินต่อไปทางทิศใต้ของพระที่นั่งพิมานปฐม เพื่อไปชม “พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี” ที่เชื่อมอยู่ติดกัน ซึ่งพระที่นั่งอภิรมย์ฤดีเป็นพระที่นั่ง 2 ชั้นที่สร้างตามสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับพระที่นั่งพิมานปฐมแต่มีขนาดเล็กกว่า เดิมทีพระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน แต่ปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีค่ะ เมื่อขึ้นบันไดมาบนชั้น 2 ของพระที่นั่งพิมานปฐมจะมีทางเดินเชื่อมไปยัง “พระที่นั่งวัชรีรมยา” ที่สร้างตามลักษณะสถาปัตยกรรมไทยอย่างสวยงาม หากมองจากภายนอกจะคิดว่าเป็นวัด เนื่องจากเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น หลังคาซ้อนกันเช่นยอดปราสาทและมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสี อีกทั้งยังประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง และหางหงส์ ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้ใช้สำหรับเป็นห้องบรรทม, ที่ทรงพระอักษร และประทับเป็นครั้งคราว ปัจจุบันนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของศาลากลางจังหวัดแล้วยังได้จำลองบรรยากาศห้องพระบรรทมและห้องทรงพระอักษรให้คล้ายคลึงกับสมัยรัชกาลที่ 6 อีกด้วย ส่วนทางด้านหลังของพระที่นั่งวัชรีรมยามี “พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์” เป็นพระที่นั่งแฝดที่อยู่ติดกัน แต่ด้วยความที่เดินไม่ทั่วถึง ทำให้มองไม่เห็นพระที่นั่งองค์นี้ สำหรับการเข้าชมพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ไม่เปิดให้เข้าชมภายในนะคะ ชมได้เฉพาะด้านนอกเท่านั้นค่ะ หลังจากเดินชมพระที่นั่งพิมานปฐม, พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี และพระที่นั่งวัชรีรมยากันไปแล้วก็เดินย้อนกลับมาชม “พระตำหนักทับขวัญ” ซึ่งพระตำหนักทับขวัญเป็นพระตำหนักแบบหมู่เรือนไทยเดิมและยกชั้นใต้ถุนต่ำสร้างตามสถาปัตยกรรมไทยภาคกลาง ประกอบด้วยเรือนไทยทั้งหมด 8 หลัง แบ่งเป็นเรือนไทยขนาดใหญ่ 4 หลังที่หันหน้าเข้าหากันตามทิศต่าง ๆ ส่วนมุมทั้ง 4 เป็นเรือนไทยขนาดเล็ก 4 หลังเชื่อมต่อกัน และตรงกลางชานเรือนจะปลูกต้นไม้ไว้เพื่อให้ร่มเงา โดยพระตำหนักองค์นี้ใช้สำหรับเป็นฐานที่ตั้งกองบัญชาการเสือป่ากองเสนาน้อยราบหนักรักษาพระองค์ค่ะ หลังจากชมพระตำหนักและพระที่นั่งจนครบเกือบทุกองค์ในพระราชวังสนามจันทร์แล้วก็แวะมาที่ “เทวาลัยคเณศร์” บริเวณกลางสนามหญ้าหน้าพระที่นั่งพิมานปฐม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลเทพารักษ์ประจำพระราชวังสนามจันทร์ ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันนับถือและนิยมเดินทางมากราบไหว้ขอพรให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โดยเทวาลัยคเณศร์เป็นศาลเปิดโล่งเหมือนซุ้ม 2 ชั้น คือมีลักษณะเป็นแท่นคอนกรีตฐานสูง ด้านบนทำซุ้มหลังคาโค้ง ใช้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานของพระคเณศร์ หรือพระพิฆเนศ ส่วนบริเวณรอบ ๆ ศาลตกแต่งด้วยดอกไม้สีสันสวยงามและต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายอยู่หนาทึบ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นวิวทิวทัศน์สวยงาม ยิ่งไปกว่านั้นเทวาลัยคเณศร์ยังมีตำแหน่งที่ตั้งตรงกับองค์พระปฐมเจดีย์อีกด้วย หากกราบไหว้องค์พระพิฆเนศแล้วก็เหมือนกับว่าได้กราบไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ไปในตัวค่ะ ส่วนองค์พระพิฆเนศที่ประดิษฐานอยู่ในเทวาลัยคเณศร์นั้นหล่อด้วยสำริดองค์สีดำ มี 2 พระกรทรงบ่วงบาศ สวมเทริดหรือชฎาทรงเตี้ย ประทับในท่านั่งสมาธิราบ ซึ่งองค์พระพิฆเนศถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จและศิลปวิทยาการทุกแขนงนอกจากนั้นมหาวิทยาลัยศิลปากรยังนำองค์พระพิฆเนศมาใช้เป็นตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ด้วยความที่เราศรัทธาและเคารพนับถือองค์พระพิฆเนศเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงเข้าไปกราบไหว้ขอพรท่านค่ะ เดินต่อมาอีกไม่ไกลก็ถึง ถึง “พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6” ซึ่งเป็นพระบรมรูปหล่อขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริงในพระอิริยาบถประทับนั่งบนเก้าอี้สนาม พระหัตถ์ขวาทรงปากกา ส่วนพระหัตถ์ซ้ายทรงสมุดสำหรับจดบันทึกการซ้อมรบเสือป่า ฉลองพระองค์เสือป่าราบหลวงอย่างเก่าแบบทรงม้า ด้วยฝีมือออกแบบและปั้นหล่อของช่างจากกรมศิลปากร โดยชาวนครปฐมต่างพร้อมใจจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านค่ะ ด้วยความที่พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางมากถึง 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา เราจึงได้แต่เดินชมเรือนไม้สักที่เป็นเรือนพักของข้าราชบริพารแค่เฉพาะบางแห่งเท่านั้น ซึ่งเรือนไม้สักที่เราเดินไปชมนั้นก็มี “เรือนพระนนทิการ” เรือนไม้สักหลังใหญ่ที่ทาตัวเรือนด้วยสีเหลืองและตัดกรอบด้วยสีน้ำตาล ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง, เรือนพระนนทิเสน, ที่พักพระตำรวจหลวง และที่พักราชองครักษ์ ส่วนโรงรถที่อยู่ทางด้านหลังพระที่นั่งวัชรีรมยา, ศาลาท่าน้ำ และเรือนไม้สักกับอาคารใช้สอยอื่น ๆ เราไม่ได้เดินเข้าไปชม เสียดายมากจริง ๆ หากมีโอกาสไปเที่ยวชมพระราชวังสนามจันทร์อีก จะเดินชมให้ทั่วเลยค่ะ สำหรับใครที่มีเวลาว่างมาก ๆ ลองแวะเข้ามาชมพระราชวังโบราณสวย ๆ ใกล้กรุงเทพฯ อย่าง “พระราชวังสนามจันทร์” ที่จังหวัดนครปฐมกันนะคะ รับรองว่าเดินเที่ยวชมเพลินจนลืมเวลาอย่างแน่นอนค่ะ 😊😊😊 ปักหมุดได้ที่: ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม 73000GPS: https://goo.gl/maps/XvmQZ8qYYzshB99F7Email: pr.sanamchan@gmail.comโทร: 03-424-4236-9เสียค่าเข้าชม:- คนไทย >> เด็ก, นักเรียน - นักศึกษา ราคา 10 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 30 บาท- ชาวต่างชาติ >> ราคา 50 บาทค่าเข้าชมนี้สำหรับคนที่ต้องการเข้าชมภายในพระตำหนักและพระที่นั่ง หากชมแค่เฉพาะด้านนอก ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมค่ะเปิด: ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. (ปิดจำหน่ายบัตรเวลา 15.30 น.) หยุดวันนักขัตฤกษ์ และวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !