“เมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซบหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์” จากคำขวัญประจำจังหวัดก็พอจะบ่งบอกได้แล้วว่าอุบลราชธานีนั้นมีดีหลายอย่าง เมื่อถึงช่วงเทศกาลเข้าพรรษาอย่างนี้ “นายรอบรู้” จึงอดไม่ได้ที่จะพาทุกท่านไปชมความอลังการของเทียนพรรษา อีกหนึ่งความภูมิใจของที่นี่ การเดินทางสู่ดินแดนอีสานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ นิตยสารอะเดย์ (A Day) ซึ่งร่วมกันจัดทริปอีสานสร้างสรรค์ ในโครงการ “เยาวชนไทยเรียนรู้แหล่งอีสาน” ตอน “จากต้นสายสู่ปลายเทียน” นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้รับความรู้และความเพลิดเพลินจากการการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการร่วมส่งเสริมศิลปะและประเพณีอันดีงามในแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้อีกด้วย กว่าจะเป็นเทียนพรรษา งานประเพณีแห่เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานีจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปีนี้ก็เป็นเวลา 111 ปีแล้ว กว่าจะมาเป็นพิธีแห่เทียนพรรษาที่งดงามอลังการอย่างทุกวันนี้ก็ได้ผ่านการพัฒนาเรื่อยมา เดิมนั้นเริ่มจากการถวายเทียนพรรษาแก่พระสงฆ์ในฤดูฝนธรรมดาๆ เทศกาลงานประเพณีในช่วงเข้าพรรษานี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำบุญบั้งไฟ จนกระทั่งเมื่อราว พ.ศ. 2444 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์ พระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสาน ได้โปรดเกล้าให้ใช้ประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นประเพณีพุทธบูชาแทนการจัดงานบุญบั้งไฟ ประเพณีเข้าพรรษาจึงได้เริ่มเข้ามาอยู่ในวิถีของชาวอุบลราชธานี ต่อมาในปีพ.ศ. 2470 ซึ่งชาวบ้านได้เริ่มทำต้นเทียนกันอย่างจริงจังแล้ว ก็ได้มีการเพิ่มการฟ้อนรำโห่ร้องด้วยความสนุกสนานเข้ามาในพิธีแห่เทียนด้วย นับเป็นการเริ่มเพิ่มความรื่นเริงเข้ามาในงานบุญทางศาสนา จนเมื่อ พ.ศ. 2520 การแห่เทียนพรรษาก็ได้กลายเป็นประเพณีประจำจังหวัดอุบลราชธานีโดยสมบูรณ์ มีการเผยแพร่ประเพณีนี้ออกสู่สายตาชาวไทยและชาวโลกนับแต่นั้น จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เทียนจากแต่ละหมู่บ้านจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์บอกว่าช่วงเวลาสำคัญที่พระสงฆ์จะต้องจำพรรษาเดินทางมาถึงแล้ว จากต้นสาย...สู่ปลายเทียน “นายรอบรู้” ไม่รอช้า พาทุกท่านไปรู้จักการทำเทียนรูปแบบต่างๆของชาวอุบลราชธานี ทุกปี เมื่อถึงเทศการแห่เทียนเข้าพรรษา ชาวบ้านแต่ละชุมชนจะมีการประกวดต้นเทียนกัน โดยมีทั้งการประกวดต้นเทียนประเภทแกะสลักและต้นเทียนประเภทติดพิมพ์ ต้นเทียนประเภทติดพิมพ์เป็นต้นเทียนที่นิยมทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม ขณะที่ต้นเทียนประเภทแกะสลักนั้นเป็นต้นเทียนที่เกิดขึ้นมาในสมัยหลัง ต้นเทียนทั้งสองประเภททำจากขี้ผึ้งคล้ายคลึงกัน แต่ต้นเทียนประเภทแกะสลักจะเน้นใช้ขี้ผึ้งคุณภาพดีกว่าเพราะป้องกันการแตกหัก ในวันงาน ชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่วัดของชุมชน ร่วมกันนำขี้ผึ้งมาทำต้นเทียน เชื่อกันว่าขี้ผึ้งเป็นสิ่งมงคล หากนำมาทำเทียนถวายพระสงฆ์จะได้บุญกุศลมาก ไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน หากแต่ยังมีหนุ่มสาวและเด็กๆอีกไม่น้อยที่มาร่วมแรงร่วมใจกันทำเทียน เมื่อตกแต่งประดับประดาต้นเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มเคลื่อนขบวนซึ่งประกอบไปด้วยต้นเทียนพรรษาและการแสดงจากชุมชน ไปรวมตัวกันบริเวณวัดศรีอุบลรัตนารามและแห่แหนไปถึงบริเวณทุ่งศรีเมือง จากนั้นจึงเริ่มงานแสดงสมโภชต้นเทียนที่ยิ่งใหญ่อลังการ กลายเป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอยากมาเห็นความตระการตานี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง 111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล ทุ่งศรีเมืองในวันงานคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถนนบริเวณรอบเมืองต่างปิดการสัญจรของรถและเปิดทางให้ขบวนแห่ ต้นเทียนใหญ่น้อยต่างทยอยเคลื่อนตัวเข้ามาอวดโฉมให้ผู้ชมซึ่งนั่งอยู่บนอัฒจรรย์สองฟากถนนได้ชม การประกวดเทียนในแต่ละปีมีทั้งประเภทแกะสลักขนาดใหญ่ ประเภทติดพิมพ์ขนาดใหญ่ ประเภทแกะสลักขนาดเล็ก ประเภทติดพิมพ์ขนาดเล็ก ประเภทเทียนโบราณ และประเภทศิลปินรุ่นใหม่ โดยต้นเทียนของแต่ละชุมชนนอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังมีเรื่องราวเบื้องหลังลวดลายของตนที่เกี่ยวพันกับความเชื่อและศรัทธาต่อพุทธศาสนาด้วย กล่าวกันว่า การให้แสงสว่างเป็นทานนับเป็นการให้ทานที่ได้ผลานิสงส์มาก ทั้งในแง่ของการให้แสงสว่างที่เป็นแสงสว่างจริงๆและแสงสว่างที่หมายถึงความรู้และปัญญาญาณ การทำเทียนเข้าพรรษาเพื่อถวายในวันเข้าพรรษาของชาวเมืองอุบลจึงเป็นงานยิ่งใหญ่ที่ทุกคนให้ความสำคัญมาก นับว่างานประเพณีนี้นอกจากจะได้สืบสานงานบุญทางพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นงานที่แสดงออกถึงวิวัฒนาการทางศิลปะชาวอุบล และได้เป็นเหมือนสื่อกลางที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชุมชนให้สมัครสมานสามัคคี สมกับชื่องานที่ว่า “111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล” กล่าวคือเป็นประเพณีที่ดำเนินมายาวนานถึง 111 ปี มีความรุ่งเรือง (ฮุ่งเฮือง) ของ “เมืองธรรม” อันประกอบไปด้วย พุทธธรรม อารยธรรม และธรรมชาติ มีเทียนที่งามล้ำ อันแสดงให้เห็นภูมิปัญญาของชาวอุบลราชธานี แวะสักการะศาสนสถานแห่งเมืองดอกบัวงาม หลังจากร่วมเดินทางไปแห่เทียนพรรษากับชาวเมืองอุบลฯมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนกลับ “นายรอบรู้” ขอพาทุกท่านไปแวะสักการะวัดสำคัญในอุบลราชธานี – จังหวัดที่ได้ชื่อว่ามีวัดมากที่สุดในประเทศไทย กันสักเล็กน้อยเริ่มกันที่ “วัดบูรพา” วัดเก่าแก่ของจังหวัดอุบลราชธานี มีอายุกว่า 200 ปี ภายในวัดมีสิมและหอไตรบกคู่ที่เป็นโบราณสถานที่เก่าแก่และสวยงาม วัดแห่งนี้นอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่ ยังเป็นศูนย์กลางการทำเทียนของชุมชนด้วย ในช่วงเข้าพรรษานอกจากจะได้เรียนรู้วิธีการทำเทียนแบบติดพิมพ์จากปราชญ์ชุมชนแล้ว ยังได้เห็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านอีกด้วย จากนั้นไปต่อยังวัดใกล้เคียงอย่าง “วัดศรีประดู่” วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี วัดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวัดที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญเรื่องการทำเทียนมาก โดยมีครูภูมิปัญญาผู้มีประสบการณ์การทำเทียนกว่า 40 ปีเป็นผู้นำการทำต้นเทียน เมื่อถึงวันเข้าพรรษา ชาวบ้านจะมารวมตัวกันที่วัด ร่วมกันทำเทียนแบบติดพิมพ์และมีการทำอาหารมาเป็นทานให้แก่คนในชุมชนด้วยกันเองด้วย “วัดพระธาตุหนองบัว” บนถนนธรรมวิถี เป็นอีกหนึ่งวัดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาอุบลราชธานี ภายในวัดมีพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 25 ศตวรรษของพระพุทธศาสนา ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วซึ่งมีเจดีย์ขนาดเล็กประดิษฐานอยู่อีก 4 องค์ เจดีย์จำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา อินเดีย นับว่าเป็นเจดีย์ที่สวยงามอลังการอย่างมาก มาถึงวัดสุดท้าย “วัดหนองป่าพง” ในตำบลโนนผึ้ง วัดแห่งนี้วัดที่มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การทำวิปัสสนากรรมฐาน มีพระผู้บุกเบิกคือหลวงปู่ชา (พระโพธิญาณเถร) ท่านได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 และเปลี่ยนสภาพวัดให้มีความสงบร่มรื่น นอกจากมาแสวงหาความสงบ ที่วัดแห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) พิพิธภัณฑ์จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท และเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่ด้วย ขอขอบคุณ : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ นิตยสารอะเดย์ (A Day)