สวัสดีครับวันนี้อยากจะพาทุกคนไปเที่ยวในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นักผจญภัยหรือนักแสวงบุญหลายๆท่านปักหมุดที่จะไปพิชิตกัน นั่นคือ “มุลาอิ” ประเทศพม่า หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักหรืออาจจะยังไม่เคยได้ยิน เพราะเพิ่งเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เพียงไม่กี่ปีครับ สถานที่แห่งนี้ล้วนยังรายล้อมด้วยธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ไม่มีที่พัก ไม่มีโรงแรม 5 ดาว ที่นี่มีกฎระเบียบให้ผู้มาเยือนต้องทำตามอย่างเคร่งครัดกันด้วยนะครับ จะสรุปสั้นๆนะครับ ห้ามกินเนื้อสัตว์กินเจเท่านั้น ไม่พูดหยาบคายส่งเสียงดัง เมื่อถึงแล้วไปนมัสการศาลพ่อปู่ศิลา ห้ามหญิงชายเดินใกล้กัน ห้ามถ่ายรูปคู่ ห้ามนอนเต็นท์เดียวกัน ห้ามขโมยของคนอื่น ห้ามผู้หญิงขึ้นไปเจดีย์ด้านบนสุด ซึ่งผู้ชายสามารถขึ้นไปได้ รักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะ ถ้าต้องการตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ ให้ขออนุญาตจากศาลพ่อปู่ศิลา โดยจะต้องเป็นผู้ชายตักให้ ฆารวาสชายสามารถอาบน้ำได้ในที่ที่จัดไว้ให้พระสงฆ์สรงน้ำ ห้ามตากเสื้อผ้าปนกับจีวรพระภิกษุสงฆ์ มุลาอิ หรือ Mulayit Taung เป็นยอดเขาของแนวเทือกเขา Dawna Hills บางคนก็เรียก มอละอิ หรือเมาะเลาะอิ ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,070 เมตร ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตปกครองตนเองของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA จังหวัดเมียวดี สหภาพเมียนมา สามารถเดินทางข้ามมาจากฝั่งประเทศไทย ผ่าน อ.พบพระ จ.ตาก ประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลานั่งรถราวๆ 3-4 ชั่วโมงครับ เนื่องจากทางถนนค่อนข้างลำบากและเป็นดินแดง ฝุ่นก็เยอะมากๆ อย่าลืมพกหน้ากากอนามัยไปด้วยนะครับ สามารถติดต่อขอจองคิวรถกระบะ 4wd ลุงจ่าได้เลย โทร. 083-6281898, 087-4160792 แต่ต้องโทรไปจองล่วงหน้านะครับ แจ้งวันเวลาที่เดินทาง จำนวนผู้เดินทาง และจำนวนลูกหาบที่ต้องการครับ สิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมก่อนเดินทางนะครับ เต็นท์ ถุงนอน เสื้อกันหนาว แผ่นรองนอน (จะนอนสบายขึ้นครับ) ไฟฉาย ของใช้ส่วนตัว อาหารเจ ยารักษาโรค เสื้อกันฝน (ช่วงฤดูฝน) ผ้านุ่ง (สำหรับผู้หญิง) เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางข้ามประเทศด้วยรถกระบะคู่ใจกันเลย ช่วงแรกๆยังดูมีถนนหนทางที่ดีครับ ผ่านไม่นานเราจะเจอกับห้วยน้ำเล็กๆที่เราต้องนั่งรถข้ามไป ตรงนี้ก็คือสดชื่นมาก เราจะได้สัมผัสกับละอองน้ำเย็นๆ ภาพข้างทางก็สวยมากๆเรียกได้ว่า หยิบมือถือมาถ่ายรูปกันยกใหญ่ ไม่นานเราก็มุ่งหน้าไปยังจุดพักรถที่แรก ซึ่งตรงนี้จะมีหมู่บ้านและร้านค้ามากมาย เราสามารถทานเนื้อสัตว์ ขนม น้ำอัดลม รวมทั้งของฝากก็มีขายนะครับ จะได้เจอเด็กๆวิ่งกรูเข้ามาหาพวกเรา น้องๆน่ารักมากๆเลย เมื่อเรากินอิ่มกันแล้ว เราก็จะเดินทางไปจุดพักรถที่ต่อไป เพื่ออาบน้ำกัน เนื่องจากเราเดินทางกันมาหลายชั่วโมง หลายคนคงตัวเหนียวและฝุ่นก็เยอะสมใจ ที่นี่ก็จะมีจุดอาบน้ำเตรียมไว้ให้สำหรับทุกคน โดยบริเวณอาบน้ำก็จะแยกชายหญิงไว้ให้แล้วครับ ของผู้หญิงจะเป็นโซนห้องน้ำด้านใน ส่วนผู้ชายก็จะอาบน้ำกันที่โล่งแจ้งครับ เหตุผลที่เราต้องอาบน้ำเพื่อเป็นการชำระร่างกายให้สะอาด กำจัดสิ่งไม่ดี ตามความเชื่อของคนที่นี่ครับ เข้าเมืองตาหลิ่วเราก็ต้องหลิ่วตาตาม ผมเหลือบไปเห็นพี่ๆเขาทาบางสิ่งลักษณะคล้ายๆแป้งเปียก สีเหลืองอ่อนๆ สิ่งนั้นคือแป้งทานาคา ทาแล้วรู้สึกหล่อสวยขึ้นมาทันตา ให้ความรู้สึกเป็นคนพม่าขึ้นมาเลยครับ อาบน้ำสดชื่นกันแล้วเราก็ไปกันต่อ หลังจากนั้นทางขึ้นก็จะโหดใช่ย่อยครับ จุดๆนี้อาจจะต้องพกยาดมกันไว้ใกล้ๆตัวครับ สำหรับคนที่เมารถ ไม่นานเราก็ถึงจุดหมายปลายทางในระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ระยะทาง 15-16 กิโลเมตร โดยมาถึงแล้วก็ไปขอพรกับศาลพ่อปู่ศิลาอันดับแรก จากนั้นสามารถเลือกได้ว่าจะไปจุดกางเต็นท์หรือจะไปสักการะเจดีย์ แต่พวกผมเลือกที่จะขึ้นไปสักการะเจดีย์ด้านบนกันก่อนครับ โดยจะมีระเบียบการแต่งกายหรือข้อห้ามต่างๆด้วยนะครับ ผู้หญิงให้นุ่งผ้าถุงให้เรียบร้อย ผู้ชายแต่งชุดสุภาพครับ นอกจากนั้นผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามขึ้นไปครับ เดินเท้าไม่นานก็มาถึงเจดีย์ยอดแรก ทั้งผู้ชายและผู้หญิงสามารถไปได้ครับ ส่วนเจดีย์ด้านบนสุดต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นครับถึงจะขึ้นไปได้ จากนั้นเราก็เดินเท้าไปจุดนัดพบเพื่อเตรียมของไปจุดกางเต็นท์ จากจุดรวมพลไปก็ประมาณ 3 กิโลเมตรจะเจอจุดกลางเต็นท์ บอกเลยว่าดูเหมือนใกล้ๆนะครับ แต่ทางชันมาก เหนื่อยมาก แต่โชคดีที่มีบริการลูกหาบ ส่วนราคาขึ้นอยู่ตามตกลงครับ เรียกว่าช่วยได้เยอะเลยครับ ระหว่างทางเดินเราก็จะเจอวิวข้างทางมากที่สวยมากๆ รู้สึกหายเหนื่อย แต่จริงๆก็ยังเหนื่อยนะอยู่ครับ ฮ่าๆ เลือกกางเต็นท์ได้ตามใจชอบครับ แต่แนะนำให้เกาะกลุ่มกับเพื่อนๆกันไว้นะครับ เพราะดึกๆกลางคืนค่อนข้างจะมืด จะเจอกันง่ายขึ้น ทางก็ค่อนข้างอันตราย เพราะมีโขดหินเล็กๆน้อยใหญ่สลับกันไปมา ในที่สุดก็กลางเต็นท์เสร็จแล้ว ทุกอย่างดูจะราบรื่นดี แต่ก็มีอุปสรรคที่พื้นที่ส่วนใหญ่ที่นี่เป็นพื้นราด และมีโขดหิน นอนค่อนข้างลำบากแนะนำให้เตรียมแผ่นรองนอนมาครับ จะได้นอนสบายๆ หลังจากนี้ก็เดี๋ยวออกไปสำรวจถ่ายรูปนิดหน่อย เดี๋ยวจะกลับมาแอบหลับสักตื่น กลางคืนแล้วก็เริ่มหนาวนะครับ เย็นเอาเรื่องเลย ส่วนผมก็ใส่เสื้อกันหนาวสองชั้นไปเลยครับ เป็นคนขาดความอบอุ่น *-* นั่งคุยเล่นกับเพื่อนก็เสียงดังมากไม่ได้ครับ รวมไปถึงห้ามพูดคำหยาบด้วยนะครับ กลางคืนด้วยความที่มืดมาก ก็จะเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า แต่ผมไม่สามารถเก็บภาพมาให้ทุกคนดูได้นะครับ เพราะดื่มด่ำกับบรรยากาศทั้งคืน รู้สึกตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วครับ ตื่นเช้ามาวัดได้ 13 องศาถือว่าหนาวกำลังดี ตัดกับความร้อนแผ่วๆจากแสงอาทิตย์สดชื่นมากครับ แล้วเติมพลังก่อนกลับ กับเมนูข้าวต้มเจร้อนๆแล้วโกโก้ร้อนๆ จบไปกับทริปมุลาอิบอกเลยว่าสนุกและเหนื่อยมากๆแต่ก็คุ้มมากๆ ผมอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดมากนะครับ อยากให้ทุกคนเห็นว่าธรรมชาติสวยๆใกล้ๆตัวเรายังมีสถานที่ให้เราไปสัมผัส และจะไม่ใช่ดินแดนที่ไม่รู้อีกต่อไป หวังว่าทุกคนที่ผ่านมาแล้วได้อ่านบันทึกการเดินทางครั้งนี้ จะเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางออกไปเจออะไรที่ท้าทาย ในวันที่เราเหนื่อยท้อจากงาน ก็จะมีภูเขา อากาศสดชื่น ท้องฟ้า เป็นกำลังใจเรา ได้มีแรงลุกขึ้นเดินต่อไป เครดิตภาพ : เป็นของผู้เขียนทั้งหมด