ช่วงปี 2015 เป็นช่วงที่เพิ่งเรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัยและเป็นช่วงที่เคว้งคว้าง หาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะทำงานอะไรและไม่รู้ว่าจะได้งานไหม เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่แม้จะมีพ่อแม่เลี้ยงอยู่ที่บ้านช่วงนั้น ตื่นสาย มีคนทำกับข้าวกินแต่ก็ทำให้เครียดพอตัว วันว่าง ๆ ก็นั่งดูหนังบ้างคุยกับเพื่อนบ้าง มีวันหนึ่งเพื่อนส่งลิงก์หนังมาให้บอกว่าสนุกดี ว่าง ๆ ก็ลองดู แถมเกริ่นเพิ่มมาให้ว่าเป็นหนังอินเดีย สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาก็คือ ผู้หญิง ผู้ชายยืนเต้นส่ายสะโพกอยู่หลังเสา เอียงคอไปมาแถมจบลงที่ว่ากลัวจะดูไม่รู้เรื่องหรือจะว่าอคติก็ได้ ทำให้โยนลิงก์หนังเรื่องนั้นทิ้งไป และหันมาใช้เวลากับการหางาน โปรยใบสมัคร จนเวลาผ่านไปเพื่อนก็มาถามเรื่องหนังที่ส่งมาให้ว่าเป็นยังไงบ้าง เราก็ตอบไปตรง ๆ เลยว่า “ยังไม่ได้ดู” เพื่อนก็งอนตุ๊บป่อง เพราะไม่มีใครคุยวิเคราะห์หนังกับนาง เลยบอกว่าเดี๋ยวจะรีบดูเพื่อตัดความรำคาญ หนังเรื่องนั้นชื่อว่า Three Idiots ใครเคยดูคงร้อง อ๋อ แต่จุจุไว้ก่อน หนังเปิดตัวด้วยผู้ชายอินเดีย “ฟาราห์น”นั่งอยู่บนเครื่องบิน ซึ่งกำลังจะออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง แต่หลังจากนั้น ฟาราห์น คนนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลหนึ่ง หลังจากวางสายฟาราห์นก็พยายามลงจากเครื่องบิน เพื่อไปรับ “ราจู” เพื่อนอีกคนหนึ่ง และบอกว่า “ชาเตอร์” (เพื่อนที่มองว่าการศึกษาคือการท่องจำ และคือการแข่งขัน) เจอ “รานโช” หรือตัวเอกของเรื่องแล้ว แต่พอไปถึงยังสถานที่นัดพบ ก็ไม่เจอ รานโช แต่อย่างใด แต่ชาเตอร์ ทราบเบาะแสที่อยู่ของรานโช ทั้งสามจึงเริ่มออกเดินทางเพื่อไปตามหาเพื่อนที่รัก “รานโช” ระหว่างทางฟาราห์น ได้นึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรียน ซึ่งหนังได้สะท้อนถึงระบบการศึกษา ภาวะสังคม การแข่งขัน ระบบการนับหน้าถือตา และครอบครัว ไว้ได้อย่างลึกซึ้ง หนังได้สะท้อนหลายแง่มุมของภาวะทางสังคม และอำนาจการต่อรองไว้ในหลายบริบท ถ้าคุณมีเงิน คุณจะมีอำนาจการต่อรองมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว ดังที่แสดงในหนังตอนที่ผ.อ. ไวรัส หรือ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย ชายที่อุทิศตนให้กับความรู้ และการแข่งขันทางการศึกษา จนละเลยความเป็นครู และขาดการชี้แนะแก่นักศึกษาไป พยายามกลั่นแกล้งรานโช โดยการให้ฟาราห์นและราจู เพื่อนรักของรานโช เลิกคบโดยการส่งจดหมายไปยังครอบครัวของ 2 คน โดยที่ไม่สามารถส่งจดหมายไปยังพ่อของรานโช เพื่อตักเตือนได้เพราะพ่อมีเงินบริจาคให้กับทางมหาวิทยาลัยจำนวนมาก การสะท้อนมุมมองของการศึกษา และระบบการแข่งขัน ที่ทุกคนต้องท่องจำ เป็นนกแก้ว นกขุนทองตามตำรา เมื่อตอบตามที่ท่องจำก็จะได้เกรดดี แต่ถ้าตอบนอกเหนือจากหนังสือ ก็จะถูกหักคะแนน เหมือนตอนที่อาจารย์ถามนักศึกษาว่า เครื่องจักรคืออะไร รานโช นั้นอธิบายโดยใช้ภาษาที่เรียบง่ายซึ่งแตกต่างจากในตำรา กับโดยว่าและไล่ออกจากห้อง การแต่งงานแบบคลุมถุงชน เพื่อยกระดับฐานะของทางบ้าน ความตึงเครียดจากการศึกษาและอัตราการฆ่าตัวตายเนื่องจากการเรียนที่เพิ่มสูงขึ้นในอินเดีย ความกดดันทางสังทางสังคมที่แสดงจากผู้ชายต้องเรียนวิศวะและผู้หญิงต้องเรียนหมอ ความเป็นใหญ่ของผู้ชาย และความคาดหวังทางครอบครัว มิตรภาพ และการตามหารัก ได้ถูกแทรกและฉายในหนังเรื่องที่อย่างกลมกล่อม "หากคุณไม่มีปริญญา คุณก็ไม่มีงานดีๆ ไม่มีภรรยาดีๆ ไม่มีเครดิตการ์ด และไร้ตัวตนในสังคม" ก็ยังคงเป็นวลีเด็ดจากหนังที่สะท้อนสภาพกรอบของสังคมได้เป็นอย่างดี ในเรื่องยังมีบทเพลงเพราะ ๆ อาทิ Give me some sunshine หรือ All is well ซึ่งเป็นเพลงติดหูที่ผู้เขียนชอบมาจนถึงทุกวันนี้ เราจะไม่ขอบอกว่าตอนจบของหนังเป็นยังไง แต่เพราะสถานที่ถ่ายทำตอนสุดท้ายของหนังเรื่องนี้ทำให้เราถึงกับต้องมนต์สะกด หลังจากหนังจบก็รีบเปิดถามพี่กู๋ว่าสถานที่ถ่ายทำจากหนังเรื่องนี้คือที่ไหน และพี่กู๋ก็บอกเราว่าที่นั้น คือ Lah Ladakh เราเก็บภาพวิวนี้ไว้ในใจและตั้งปณิธานว่า เมื่อไรที่เก็บเงินได้ มีงานทำ เมื่อนั้นเราจะตีตั๋วไปอินเดีย หลังจากทำงานใช้เวลาเกือบปีก็สามารถเก็บเงินก้อนแรกได้ แต่ก็ต้องมาฝ่าฝันอุปสรรคด้านครอบครัว เนื่องด้วยผู้เขียนเป็นลูกสาวคนเดียว ประสบการณ์การท่องเที่ยวต่างประเทศน้อยมาก แต่อยากจะไปอินเดีย ภาพจำของครอบครัวมองว่าอินเดียอันตราย เที่ยวยาก หาของกินลำบาก เลยไม่อนุญาตให้เราไป แต่เราก็ดื้ออยู่พักใหญ่ หาเพื่อนไปร่วมผจญภัย พร้อมจองตั๋ว ไป-กลับ และแพลนเที่ยวอินเดีย 10 วัน โดยไม่ได้ไปกับกรุ๊ปทัวร์แต่อย่างใด เราขอข้ามทริปอื่น ๆ ในอินเดียแล้วมาโฟกัสที่ Lah Ladakh พระเอกของเรื่องที่ทำให้เรามาเที่ยวอินเดียวครั้งนี้ หลังจากนั้นเครื่องมา 5 ชั่วโมงก็ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ Delhi เพื่อไปที่ Lah Ladakh ประมาณอีก 1 ชั่วโมง การเที่ยว Ladakh นั้น ต้องขอใบอนุญาติ หรือ permit แยก ซึ่งสามารถขอได้ตั้งแต่ตอนขอวีซ่าที่สถานทูต หรือสามารถขอที่ Ladakh ได้โดยใช้เวลาประมาณ 1 วัน ด้วยความที่เราวางแผนมาดีมากกกก (ก ล้านตัว) ทำให้เราไม่ได้ติดต่อที่พัก หารถ หรือขอ permit ไว้แต่อย่างใด เรียกว่ามาตายเอาดาบหน้า หลังจากที่ลงเครื่องที่สนามบิน Lah Ladakh จะเจอแท็กซี่มากมาย ซึ่งไม่ต้องกลัวเรื่องการต่อราคาเหมือนที่อื่น เพราะที่นี้มีคู่มือราคาแท็กซี่อยู่ เราได้พูดคุยและขอให้ทางคนขับพาเราไปหาที่พัก ซึ่งคนที่นู่นน่ารักมาก พาเราไปหาที่พักหลายที่โดยที่ไม่มีการขอเงินเพิ่ม หรือเรียกร้องอะไรแต่อย่างใด หลังจากนั้นเราก็ได้ที่พักห้องน่ารัก ราคาไม่แพงไว้ให้นอน พอได้ที่พัก เราก็ได้มีการพูดคุยกับทางเจ้าของที่พักเพื่อเรียกแท็กซี่ และคุยรายละเอียดเรื่องเส้นทางในการเที่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้และได้ไปติดต่อร้านทัวร์เพื่อทำ permit ไปเที่ยวที่ Lah Ladakh เราตื่นแต่เช้าจัดเตรียมข้าวของ เพราะเส้นทางที่เราจะไปนั้นต้องค้างคืนหนึ่งวัน พี่คนขับผู้ชำนาญทางพาเราค่อยไต่ขึ้นเขาไป พร้อมกับจังหวะเพลงและหัวที่โยกไปมา เนื่องทางเส้นทางขรุขระทำให้ร่างกายเราโยกไปมาตลอดเวลา เมื่อมองออกไปด้านนอกจะเป็นเส้นทางเรียวเล็กที่ทำให้ฉงนว่ารถสวนกันได้อย่างไร และแสงแดดพร้อมวิวอันเพลินตา ขอแนะนำว่าอย่าเช่ารถยนต์ขับเองเนื่องจากเส้นทางค่อนข้างอันตราย อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อากาศค่อนข้างหนาวถึงแม้จะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมที่เป็นช่วงหน้าร้อน และแม้เวลาจะผ่านมาจนเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ฟ้าก็ยังสว่างอยู่ และเนื่องจาก เลห์ ลาดักเป็นพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมาก อาจจะมีผลทำให้เราปวดหัว คลื่นไส้ เพราะออกซิเจนในร่างกายจะลดน้อยลง ซึ่งเป็นเป็นอาการที่เรียกว่า Altitude sickness เพราะฉะนั้นใครที่ไปที่ลาดักควรพกยา Diamox (ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงทำให้มือชาเล็กน้อย) โดยต้องทานล่วงหน้าก่อนไปอย่างน้อยหนึ่งวันก่อนไป และที่สำคัญนอนให้เพียงพอและงดแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับตัวเรา ดูแลตัวเองให้ดี เที่ยวให้ปลอดภัยคือดีที่สุด สถานที่ที่เราตั้งใจมาคือ Pangong lake หรือฉากสุดท้ายของ three idiots แ ต้นเรื่องที่จุดประกายทำให้เกิดทริปนี้ ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่สูงที่สุดในโลก และ Tsomoriri lake ทะเลสาบที่ในที่สูงและใหญ่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งอยู่ในระดับความสูง 4,522 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้ำที่สะท้อนให้เห็นวิวทิวทัศน์ เหมือนเรากำลังมองกระจกที่ส่องโลก ประกายจากน้ำ และท้องฟ้า พร้อมก้อนเมฆสีขาวนวล รายล้อมด้วยภูเขาสีเทาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหิมะบางส่วนที่ยังไม่ละลาย เป็นภาพที่ทำให้เราเกือบหยุดหายใจ วินาทีนั้นรู้สึกขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณเพื่อนร่วมทริป และครอบครัวที่ทำให้เรามาเห็นภาพตรงนี้ อยากจะบอกว่าแม้ภาพที่เห็นจะสวยเพียงใด หรือใช้คำพรรณนาสวยหรู ก็ไม่สามารถบรรยายสิ่งที่เห็นด้วยตาตัวเองได้เลย สำหรับใครที่สนใจจะมาเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศและสังคม สภาพการเมืองในเวลานั้น (เพราะพื้นที่ของ Lah Ladakh เป็นพื้นที่มีเปราะบาง มีการประท้วงบ่อยครั้ง) และการเดินทางให้ดี เตรียมยาประจำตัวสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เตรียมตัวว่าอาจจะต้องลำบาก แต่ขอรับรองว่า ทริปนี้จะเป็นทริปที่จะทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจตัวเองมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะรักและหวงแหนธรรมชาติให้อยู่ตราบนานเท่านาน ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ สามารถติดตามผู้เขียนได้ที่ : Kariangg ภาพประกอบโดยผู้เขียนและ ภาพหนังเรื่อง Three Idiots จาก Vinod Chopra Films