ยังคงคละคลุ้งในหัวใจหลังจบทริปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น วันนี้เลยขอมารีวิวเรียวกัง โรงแรมตามตำรับของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) ตั้งอยู่ในเมืองซูเซนจิ (Shuzenji) โดยโรงแรมหรือเรียวกังแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นธรรมชาติและบ่อน้ำพุร้อนออนเซ็น ตัวเรามีโอกาสไปเที่ยวแดนปลาดิบก็ไม่พลาดที่จะลองไปสัมผัสประสบการณ์เข้าพักในเรียวกังชื่อดังแห่งนี้ ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เป็นอย่างไรบ้าง? สะดวกสบายไหม คุ้มค่าคุ้มราคากับที่ต้องจ่ายหรือเปล่า? มาดูรีวิว ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เมืองซูเซนจิ กันในบทความนี้ได้เลย รีวิว ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เมืองซูเซนจิ มาว่ากันที่วิธีการเดินทางกันก่อนดีกว่าค่ะ การเดินทางมาเรียวกัง ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) ให้นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shuzenji ส่วนตัวเราต่อรถไฟ JR มาเรื่อยๆ แต่สำหรับใครที่เดินทางมาจาก Tokyo สามารถนั่งรถไฟ Odoriko for Shuzenji แบบยิงยาวมาได้เลย เมื่อออกจากสถานีรถไฟทาง South Exit ให้เลี้ยวซ้ายจะเจอป้ายรถเมล์ เลือกขึ้นป้ายหมายเลข 1 แล้วลงป้ายสุดท้าย (Shuzenji Onsen) ระยะทางประมาณ 2.3 กม. (รอบรถมีตั้งแต่ช่วง 6 โมงเช้าไปจนถึงประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง) ใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 10 นาทีก็มาถึงจุดหมายโดยป้ายรถเมล์อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของเรียวกัง Yukairo Kikuya ก็เลยหาโรงแรมไม่ยาก ลงจากรถก็ลากกระเป๋าเดินข้ามมาเช็กอินได้เลยแบบชิลๆ (เริ่มเช็กอินได้ตั้งแต่ 15.00 น.) หรือถ้าใครเที่ยวแบบเช่ารถขับด้วยตนเองทางเรียวกังก็มีที่จอดรถไว้ให้เพียบพร้อมเลย บรรยากาศด้านหน้าของโรงแรมมีความเป็นญี่ปุ่นแบบเข้มข้นมากๆ สมกับเป็นเรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งผสมผสานสิ่งก่อสร้างในช่วงหลายยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่ยุคเมจิ ไทโช โชวะ เฮเซและเรวะ หลังจากที่เราฝากรองเท้าไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์และใส่รองเท้าที่เรียวกังเตรียมไว้ให้แล้ว ก็เดินเข้ามาที่โซน reception ของโรงแรมเพื่อเช็กอินและกรอกเอกสารเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย หลังจากนั้นจะเริ่มอธิบายรายละเอียดต่างๆ ภายในโรงแรม ทั้งรายละเอียดและตำแหน่งของห้องที่เราจอง / ห้องอาหาร / ห้องกาแฟ / ห้องแช่ออนเซ็นแบบ private และแบบรวม / ห้องนวดสปา จากนั้นพนักงานจะให้เราเลือกเวลาสำหรับอาหารเย็นซึ่งจะมีด้วยกัน 2 รอบ ได้แก่ 17:30 น. และ 19:00 น. หลังจากที่เราเลือกพนักงานจะลงเวลาไว้ให้ จากนั้นก็เดินทางไปที่ห้องพักได้เลย ห้องพักที่เราเลือกจองมาเป็นแบบ MIZU NO KATARIBE ซึ่งเป็นโซนใหม่ที่จะต้องลงลิฟต์ไปจากโซน reception ไปอีก 1 ชั้นและข้ามสะพานสีแดงไปอีกฝั่ง (ก่อนข้ามสะพานจะมีประตูล็อกเอาไว้ซึ่งเข้าได้เฉพาะแขกที่จองห้องประเภทนี้มาเท่านั้น) โซนนี้เลยจะมีความ private มากขึ้น แถมยังมีวิวสะพานสวยๆ เป็นของตัวเอง ไม่ชักช้าก็เข้ามารีวิวห้องกันเลยดีกว่าค่ะ แบบที่เราจองมาเป็นห้อง Japanese Style Room without View and with Hot Spring Bath ตอนแรกเข้าใจว่าไม่มีวิวหลังห้อง แต่พอมาที่ห้องจริงก็มีระเบียงให้นั่งชมวิวสวยๆ หลังห้อง (แอบงงๆ เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าสวยพอ 555+) เราจองมา 1 คืน ราคารวมภาษีและค่าบริการต่างๆ ตกคืนละ 48,808 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10,700 บาท/คืน ถ้าถามว่าราคาแรงไหม..ตอบได้เลยว่าเอาที่ไหนมาไม่แรง ฮาาา แต่เพราะเราเองอยากมาลองพักในโรงแรมที่เป็นแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ สักครั้งก็เลยเลือก บรรยากาศภายในห้องสวยมาก ห้องเป็นสไตล์บ้านญี่ปุ่นเลยค่ะ เป็นประตูแบบเลื่อนและพื้นเป็นพื้นเสื่อ เฟอร์นิเจอร์ในห้องโดยส่วนใหญ่จะเป็นงานไม้โทนเดียวกันไปหมด เตียงนอนนุ่มสบายสุดๆ และมีชุดนอนแยกไซซ์ชายหญิงไว้ให้ด้วย มาที่เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องบอกเลยว่าครบมาก ครบแบบสุดขีด เริ่มตั้งแต่ทีวี กาน้ำร้อน โทรศัพท์ ไดร์เป่าผม ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กและใหญ่ (มีเซตผ้าเช็ดตัวสำหรับแช่บ่อออนเซ็นนอกห้องแยกไปอีกต่างหาก) ถังขยะ มียาพ่นแมลงและที่คีบ (เผื่อไว้เวลาเจอสัตว์ แมลงต่างๆ ในห้อง) ช่องเล็กๆ เหนือทีวีจะมีชุดชงชาและกาแฟเตรียมไว้ด้วยค่ะ ถังเล็กๆ เป็นถังน้ำแข็ง (เราสามารถไปตักน้ำแข็งจากจุดบริการมาได้) และที่บนโต๊ะมีกล่องขนมญี่ปุ่นน่ารักๆ เตรียมไว้ประมาณ 4 ชิ้น ให้เรากินแบบกรุบกริบ ส่วนเรื่องห้องน้ำที่นี่เขาเอาจริงเอาจังกันแบบสุดๆ ห้องน้ำชักโครกจะแยกห้องออกไป โซนอ่างล้างหน้าจะอยู่กลางห้องและเยื้องไปทางขวามือจะเป็นโซนฝักบัวอาบน้ำ ความดีงามของการแยกแต่ละอย่างออกจากกันคือพื้นมันจะไม่เปียกไปหมดเวลาอาบน้ำ ถัดไปจากโซนห้องฝักบัวอาบน้ำ ห้องแบบ Japanese Style Room without View and with Hot Spring Bath ที่เราจองมาจะมีอ่างแช่น้ำร้อนส่วนตัวด้วยค่ะ ไอเลิฟสิ่งนี้สุดๆ มีปุ่มกดน้ำร้อนเพียบพร้อมสามารถปรับระดับอุณหภูมิน้ำได้ตามใจชอบ บานหน้าต่างด้านหลังจะเป็นสลักเลื่อน เราสามารถปิดเอาไว้หรือแง้มเล็กๆ ให้แสงลอดเข้ามาก็ได้ บริการภายในเรียวกัง ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เมืองซูเซนจิ ห้องกาแฟ (ชั้น 1) เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ร้านราเมง (ชั้น 1) เปิดให้บริการราเมงตอน 22.00-23.00 น. สามารถไปทานฟรีได้ ร้านขายของฝาก (ชั้น 1) เปิดตั้งแต่ 09.00-22.00 น. ห้องนวด มี 2 แบบคือ นวดทั้งตัวกับการนวดเท้าแบบญี่ปุ่น (ต้องจองคิวกับทาง Reception และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) บ่อแช่ออนเซ็นรวม เปิด 2 ช่วง ช่วงเช้า 05.00-10.00 น. และช่วงบ่าย 15.00-01.00 น. บ่อแช่ออนเซ็นส่วนตัว เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ทำความสะอาดห้อง 11.00-14.00 น.) ถ้าห้องว่างสามารถเข้าใช้บริการได้เลย โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาในห้องนี้ประมาณ 40 นาที ห้องอาหาร (ชั้น 1) สำหรับทานอาหารเย็นและอาหารเช้า ห้องสูบบุหรี่ (Smoking Room) สำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ (อยู่ติดกับห้องแช่ออนเซ็นแบบไพรเวท) มีโซนเครื่องดื่มทานฟรี ทั้งน้ำอัดลม ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (มีเวลาเปิดปิด) มีตู้ทำน้ำแข็ง ตู้ไอศกรีม ไว้บริการภายในเรียวกัง โถงทางเดินชั้น 1 ที่เชื่อมกับลิฟต์เพื่อลงไปยังห้องพักด้านล่าง (สามารถเดินลงบันไดที่ถัดไปด้านหลังได้เช่นเดียวกัน) ถึงเวลากินอาหารเย็นก็ให้เดินมารอแถวห้องอาหารได้เลย พนักงานต้อนรับจะพาไปยังที่นั่งที่เขาสำรองไว้ให้เรา ห้องทานอาหารจะแยกออกจากกันเป็นห้องๆ เลยค่ะ ความ private แบบสูงสุด ห้องที่เราได้เป็นโต๊ะไม้ยาว ผนังด้านข้างเป็นกระจกใสมองเห็นวิวสวนหินสไตล์ญี่ปุ่น กินไป คุยไป ชมวิวแสนสงบไปด้วยมันสบายใจสุดๆ ไปเลย อาหารเย็นจะมีชุดอาหารที่เสิร์ฟเป็นหลักและเมนูย่อยๆ ให้เราเลือกตามต้องการประมาณ 3-4 เมนูค่ะ หน้าตาความสวยของจานอาหารให้เต็มร้อย รสชาติและคุณภาพไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ อร่อยมากกกก เราชอบทุกจานเลย รสชาติมีความเข้มข้นระดับกลางๆ รสกลางๆ สไตล์ญี่ปุ่น ไม่มีความเผ็ดจัดจ้านในเมนูเท่าไหร่ อาหารที่เสิร์ฟมีเมนูเนื้อสัตว์หลากหลาย เป็นเมนูญี่ปุ่นแท้ๆ และเมนูญี่ปุ่นแบบผสมผสานอย่างพวก Fine dining เป็นการกินอาหารเย็นที่เยอะมาก รายการอาหารหลากหลาย มีครบทั้งคาวหวาน ส่วนตัวเราประทับใจมื้ออาหารเย็นดีเลยจริงๆ พนักงานที่ดูแลเราก็พยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษอย่างตั้งใจ ป.ล. ก่อนออกจากห้องทานอาหาร พนักงานจะสอบถามเกี่ยวกับเวลาอาหารเช้าที่เราจะมากินรวมถึงเมนูอาหารเช้าที่จะมี 2 แบบ คือ เซตอาหารสไตล์ญี่ปุ่น และอาหารเช้าแบบฝรั่ง จบมื้ออาหารเย็นแสนประทับใจก็ออกมาหาเครื่องดื่มเย็นๆ กินให้สดชื่น มีทั้งน้ำอัดลม ชาและเครื่องดื่มสำหรับผู้ใหญ่ พร้อมมุมนั่งชิลท่ามกลางสวนสวยๆ อากาศเย็นๆ หรือใครจะเดินเล่น เลือกซื้อขนม เครื่องใช้ของฝากจากญี่ปุ่นทางเรียวกังเขาก็มีจำหน่ายเหมือนกันละ มีทั้งของฝากยอดนิยมทั่วไปและของฝากแบบท้องถิ่นเรียกว่าครบครันดีสุดๆ ร้านเปิดตั้งแต่ 09.00-22.00 น. เลือกซื้อได้ตามชอบเลย กินมื้อเย็นและเดินเล่นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาแช่ออนเซ็นไพรเวทกันต่อ ห้องสำหรับแช่ออนเซ็นไพรเวทขนาดใหญ่โตเลยค่ะ มีโซนห้องด้านในสำหรับผลัดผ้า มีอ่างล้างหน้าและอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครัน ก่อนลงอ่างให้เราล้างทำความสะอาดตัวให้เรียบร้อยจากนั้นลงแช่ได้เลย ข้อแนะนำคือไม่ควรแช่น้ำนานเกินไปเพราะเดี๋ยวอุณหภูมิร่างกายจะสูงจนเป็นลมเอาได้ แช่สักประมาณ 15-20 นาที กำลังดี โซนแช่น้ำร้อนจะเป็น outdoor แต่รอบข้างไกลๆ จะไม่มีโซนไหนที่มองมาเห็นเราค่ะ เรียกได้ว่าเป็นการแช่น้ำร้อนที่ทั้งสบายตัวและเปิดประสบการณ์สุดๆ มีบ่อออนเซ็นแบบรวม (แยกชาย-หญิง) แต่ใจยังไม่กล้าพอ ฮาา แช่น้ำร้อนสบายตัวแล้ว พอตกดึกสัก 4 ทุ่มจะมีร้านราเมงมาเปิดทำการ ให้อารมณ์การกินอาหารยามดึกแบบชาวญี่ปุ่นขนานแท้ ราเมงจะเสิร์ฟมาในถ้วยพลาสติก ขนาดถ้วยไม่ใหญ่มากนัก รสชาติราเมงระดับกลางๆ แต่พอได้ซดน้ำซุปอุ่นๆ ตอนกลางคืนช่วยทำให้อุ่นท้อง นอนหลับสบายเลยละ ตื่นเช้ามา ก็เดินเล่นสูดบรรยากาศสดชื่นๆ ในโรงแรมได้แบบไม่เบื่อ มีวิวหลายแบบมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำสวยๆ กลางโรงแรม มีสวนต้นไม้และบ่อน้ำเลี้ยงปลาคาร์ฟที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามหลากหลายจุด อากาศสดชื่นมากสมกับการพักผ่อนจริงๆ แนะนำว่าอย่าลืมแวะมาห้องกาแฟด้วยเสียหน่อย ในห้องจะมีเครื่องทำกาแฟไว้บริการ มีกาแฟเย็น นมสดและยาคูลท์ไว้ให้เราเลือกดื่ม แถมยังมีมุมดีๆ ให้เรานั่งดื่มกาแฟพร้อมชมวิวสวยๆ จากชั้น 1 ที่มองทอดยาวไปด้านล่างจะเป็นแม่น้ำสวยๆ ไหลตัดกลางโรงแรม เราจองอาหารเช้าไว้ตอน 7.30 น. เมื่อถึงเวลาก็เดินมาแถวเดียวกันกับห้องทานอาหารมื้อเย็นได้เลย พนักงานจะเดินนำไปยังโต๊ะที่นั่ง ส่วนรายการอาหารที่เราจองไว้จะเป็นเซตอาหารญี่ปุ่น 1 เซต และเซตอาหารเช้าแบบฝรั่งอีก 1 เซต หน้าตาอาหารก็สวยงามไม่ผิดแผกไปจากมื้อค่ำเลยค่ะ ทุกจานอาหารถูกจัดมาอย่างใส่ใจ น่าทานมากๆ เริ่มต้นที่เซตอาหารญี่ปุ่นกันก่อนค่ะ โดยอาหารแบบนี้เรียกว่า 'เทโชกุ' (Teishoku) ซึ่งเป็นจานอาหารที่สมดุลทั้งข้าว เนื้อสัตว์ ผักและเครื่องเคียงอื่นๆ ช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายในยามเช้า ในเซตที่เราได้มามีข้าวสวยญี่ปุ่น (มีหม้อรีฟิลข้าวด้วย) ซุปมิโสะ ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่ม มีพวกซาชิมิ ผักดอง ปลาย่าง ปลาขาวและอื่นๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น รสชาติคือญี่ปุ่นแท้ๆ ที่เข้ากับลิ้นชาวไทยเราได้อย่างดีเลยค่ะ ส่วนตัวเราชอบมากๆ รสชาติไม่เค็ม ไม่หวาน ไม่จืดจนเกินไป ปรุงมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้จะเห็นว่าเป็นจานเล็กๆ แบบนี้แต่พอเรากินรวมๆ กันมันได้ระดับความอิ่มที่พอดีเลยเชียว อยู่ท้องดีเลยค่ะ ตัดมาที่เซตอาหารฝรั่ง หน้าตาก็ดีไม่แพ้ไปกว่ากันเลย เราชอบสีสันของจานอาหารมาก เป็นโทนอบอุ่นชวนกิน มีทั้งสีเขียว เหลือง ส้ม แดง จานหลักๆ จะเป็นเนื้อปลาแซลมอนที่จี่มาจนสุก มันบด ไส้กรอกและไข่คน ซุปมันฝรั่ง เมนูอบชีส ขนมปังอบสดใหม่+น้ำมันมะกอก ส่วนของหวานจะเป็นโยเกิร์ตเนื้อเนียนๆ รสไม่หวานเกินไป อาหารสไตล์ฝรั่งนี้ก็ทำมาได้ดีไม่แพ้กันเลยค่ะ รสชาติของอาหารกลางๆ ไม่เข้มข้นจัดจ้าน เหมาะกับการเริ่มต้นวันที่ท้องไส้ยังไม่พร้อมรับอาหารรสชาติจัดๆ จบมื้อเช้าไปด้วยบรรยากาศอันแสนสงบในห้องทานอาหารและการให้บริการอย่างดีของคุณน้าพนักงาน กินมื้อเช้าเสร็จเราก็กลับห้องเตรียมตัวเช็กเอาท์ (เวลาเช็กเอาท์คือ 11.00 น.) หากใครมีแพลนเดินเที่ยวย่าน Shuzenji Onsen ทางโรงแรมเขาก็มีบริการรับฝากกระเป๋าหลังเช็กเอาท์ด้วยค่ะ สะดวกมากๆ สถานที่ท่องเที่ยวย่านนั้นก็มีหลายแห่งเหมาะกับการเดินเล่นถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำ เช่น วัดชูเซ็นจิ, ชมวิวแม่น้ำคัตสึระ, Tokko no Yu น้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดใน Izu, สะพานคาเอเดะ (Kaedebashi), สวนทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) และร้านขายขนม ของฝากจาก Shuzenji อีกมากมายเชียวละ ส่วนวิธีเดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ Shuzenji ก็ไม่ยากเลยค่ะเพราะเข้ามาขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรมได้เลย สรุปส่วนตัวแล้ว ยูไรโระ คิกุยะ (Yukairo Kikuya) เรียวกังแห่งเมืองออนเซ็น สำหรับเราเป็นการนอนค้างคืนที่ประทับใจมากๆ ค่ะ ทั้งความสะดวกสบาย ความสวยงามและบริการต่างๆ ที่ครบครันในเรียวกัง ความเอาใจใส่จากพนักงาน ความสะดวกสบายในการเดินทางเข้ามายังเรียวกัง และนอกจากนี้ยังมีสถานที่ให้เราได้เดินเที่ยวเล่นอีกหลายจุดมากๆ เรียกได้ว่าเป็นการมาพักผ่อนในย่าน Shuzenji Onsen ที่ทั้งสนุก สงบและคุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องจ่ายไปจริงๆ เสียดายตอนที่เราไม่ใช่ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเพราะวิวจะสวยมากเป็นพิเศษ ภาพหน้าปก และ ภาพในเนื้อหา โดย ผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !