“ตลาดท่าเรือ อยุธยา” มนต์ขลังเส้นทางรถไฟเก่า ก่อนอนาคตจะลบกลบเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ของ อ. ท่าเรือ จ. อยุธยา เรายืนอยู่หน้าปากตรอกตลาดเก่าท่าเรือ เบื้องหลังเป็นเส้นทางรถไฟสายปัจจุบัน อาจไม่ต้องสาธยายสิ่งใดมากเพราะเบื้องหน้ามีตึกไม้เก่าสองชั้น ขนาบสองข้างเคียงคู่ต้นไม้ใหญ่เหยียดกิ่งแผ่ร่มเงา ตรงข้างกับความเจริญที่แผ่ไปบนเส้นทาง ซึ่งถนนเข้าถึงได้มากกว่า ตลาดนี้เลยเหลือเพียงร้านที่เปิดอยู่ไม่กี่ร้าน นอกนั้นกระจัดกระจายไปตามกาลเวลา แต่แผงขายของไม้เก่ายังอยู่ รวมถึงบ้านไม้เก่ายังคงมีให้เห็น แต่อยู่ในสภาพทรุดโทรมเต็มที ก่อนสถานีรถไฟจะมาอยู่ในที่ปัจจุบัน รางรถไฟอดีตได้พาดผ่านมาจอดถึงท้ายตลาด ที่วันนี้โรงขายตั๋วที่เป็นบ้านไม้เก่าถูกดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย ป้าเจ้าของบ้านเล่าให้ฟังอย่างยิ้มแย้มถึงร่องรอยความรุ่งเรืองอดีต ว่าคนท่าเรือจะเข้าพระนครฯ ก็ใช้เส้นทางสายนี้ ตลาดแห่งนี้เลยเป็นศูนย์รวมจับจ่ายสินค้าทั้งเสื้อผ้าของกินและของป่า แต่ช่วงที่เส้นทางสายนี้คึกคัดที่สุดคือช่วงเทศกาลไหว้รอยพระพุทธบาตรสระบุรี เส้นทางสายนี้เป็นจุดเชื่อมการเดินทางเพื่อต่อรถ ไม่ว่าคนกรุงหรือคนพื้นที่ต่างหาเลือกซื้อสิ่งของตุนไว้ก่อนเดินทาง มิเพียงแค่นั้นสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระมหากษัตรีย์แห่งอยุธยา ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคเพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาตร โดยเสด็จขึ้นบริเวณท่าเรือท้ายตลาดปัจจุบัน แต่พอกลับมายังภาพปัจจุบัน... ร้านค้าแผงขายของกลับทรุดโทรม ขณะที่บ้านบางหลังซึ่งยังมีชาวบ้านอยู่ก็ยิ้มแย้มต้อนรับเราแม้มือไม้ยังง่วนอยู่กับการซักผ้า หลังจากชมตลาดเก่าเรามุ่งตรงไปบนถนนเลียบริมน้ำ เพื่อไปชมสะพานเหล็กที่สมัยก่อนสงครามโลก ทหารญี่ปุ่นได้สร้างไว้เพื่อเป็นทางรถไฟลำเลียงอาวุธดั่งหลายแห่งในประเทศ แต่ก่อนสงครามจะยุติสะพานแห่งนี้ได้ถูกระเบิดจนชาวบ้านไม่สามารถสัญจรได้ดังเดิม แต่มีการซ่อมแซมจนใช้ได้เป็นปกติ และสร้างสะพานเหล็กอีกแห่งขนานกันเหนือลำน้ำอันคดเคี้ยว พอเหงื่อเริ่มซึมแผ่นหลัง เราเดินตัดเข้าตัวตลาดแห่งใหม่ละแวกซอยเทศบาล แม้ตอนนี้มีตึกเข้ามาเบียดบ้านไม้เก่า แต่สำหรับใครที่ชอบกินไปด้วยเที่ยวไปด้วยรับรองต้องถูกใจ โดยเฉพาะร้านขนมบ้าบิ่น ของแม่เสี้ยนเจ้าเก่า หรือที่ใคร ๆ รู้จักในชื่อ “ขนมบ้าบิ่น ทูลเกล้าฯ” เนื่องจากป้าเจ้าของร้านเคยนำขนมบ้าบิ่นทูลเกล้าถวายในงานศิลปาชีพ เมื่อปี 2522 ถือได้ว่าเป็นบ้าบิ่นที่ไม่หวานจนเกินไป มะพร้าวที่ใช้ผสมสดใหม่เส้นไม่ใหญ่จนแข็ง ที่สำคัญร้านนี้ไม่มีส่งไปขายที่อื่น จะขายตั้งแต่ช่วงเช้าถ้าขายดีบ่ายๆ ก็ปิดร้าน ใครอยากลองต้องไปเดินตามหาซอยตรงข้ามธนาคารนครหลวงไทย หรือลองถามคนแถวนั้นดูแล้วจะไม่ผิดหวัง หลังได้ขนมตุนในท้อง แวะชมบ้านไม้เก่าอายุกว่าร้อยปีที่ “บ้านหงส์ยนต์” หลบอยู่ในตรอกแคบ ๆ แต่พอผ่านเข้ารั้วบ้านนี้มีพื้นที่กว้างขวางด้วยร่มไม้ใหญ่ ยายคนดูแลบ้านเล่าว่าเดิมเป็นบ้านของเจ้าของตลาด เลยใหญ่โตโอ่อ่าอย่างที่เห็น แต่ปัจจุบันได้มีเจ้าของใหม่เข้ามาดูแล โดยใครที่ชอบลวดลายไม่คงเพลินไม่รู้เบื่อ เพราะบางช่วงของตัวบ้านคงสภาพเดิมด้วยลวดลายโบราญที่เปี่ยมด้วยฝีมือช่าง แม้ผ่านเวลามายาวนานแต่ลวดลายบนเนื้อไม้ยังคมกริบไม่มีที่ติ เมื่อตลาดแห่งนี้รุ่งเรืองแทนตลาดเก่าถึงขีดสุดเมื่อ พ.ศ. 2508 กลับเกิดเหตุการณ์ “17 เสือปิดตลาดท่าเรือปล้น” ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความหวั่นวิตกให้กับชาวบ้าน โดยการปล้นครั้งนั้นมีชาวบ้านและเจ้าของร้านค้าถูกยิงเสียชีวิต โจรที่ปล้นในครั้งนั้นนอกจากกวาดทรัพย์สินมีค้าแล้ว กางเกงยีนยังถูกปล้นไปจำนวนมาก เนื่องจากยุคนั้นกางเกงยีนเป็นสินค้าใหม่ บวกกับโจรส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ลองกินมื้อกลางวันของที่นี่ เพราะร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งหมูและเป็ดเป็นเจ้าดั่งเดิมเช่าตึกแถวร้านค้าขายมาตั้งแต่ยังหนุ่มสาว จนบัดนี้มีลูกหลาน แต่ยังไม่ยอมหยุดขาย เจ้าของร้านบางเจ้าบ่นอุบว่าลูกหลานจะให้อยู่บ้านเฉย ๆ คงไม่ไหว ขายของดีกว่าเป็นไหน ๆ หากใครชอบบรรยากาศร้านเก่า ๆ ต้องแวะร้านกาแฟโกวบู๊ ที่นี่ร้านยังคงความดั่งเดิม ป้าเจ้าของร้านแนะนำเครื่องดื่มโบราณหลากหลายแบบ แถมยังมีของดองแบบโบราญที่ป้าให้ลองชิมไม่ขาดปาก ออกจากตลาดไม่ไกลนักเป็นวัดสะตือ บ้านเกิดของสมเด็จพระพุทธจารย์โต มีความเก่าแก่โดยเฉพาะพระนอนลองได้ไปกราบไหว้ขอพร ซึ่งหลายคนการันตีเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ในความเก่ามีสิ่งน่าสนใจ โดยเฉพาะคนที่ชอบท่องเที่ยวและเรียนรู้ ลองหาวันว่าง ๆ ไปเดินสบาย ๆ ที่ตลาดท่าเรือ แล้วจะรู้ว่าอดีตกับปัจจุบันยังคงไปด้วยกันได้ดีอยู่ไม่น้อย **CR ทุกภาพถ่ายโดยผู้เขียน