วันที่สาม ออกจากที่พักสายๆ เพราะเหนื่อยจากเมื่อวานที่ตะลอนมาทั้งวัน แวะหาร้านอาหารเช้า แต่ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ว่าจะกลับมาตายรังที่ร้านโจ๊กสมเพชรก็คนเยอะเหลือเกิน เราเดินมาเรื่อยๆจนถึง ร้านกาแฟริช คอฟฟี่เฮาส์ ค่ะ นั่งจิบกาแฟชิวๆ ราคาก็เป็นราคาร้านกาแฟสดทั่วไปคะ กินคู่กับเค้กช็อคโกแลต ฟินนนนนน กินไปตาเยิ้มไป อร่อยจริงๆคะ แถมยังมี WiFi ฟรีให้เล่น มีมุมสวนเล็กๆ ให้นั่ง โอ้ยยยยย สบายอารมณ์สุดๆ อิ่มอร่อยกับกาแฟ+เค้กไปแล้วเราก็เดินกลับไปเช็คเอาท์และคืนรถคะ ออกจากเชียงมั่นประมาณเกือบเที่ยงได้ เราก็แวะไปวัดเชียงมั่นคะ ใกล้นิดเดียว แต่มาแวะเอาวันสุดท้ายของทริป "นาคา อารักษ์ สวยงาม จับจิต หนึ่งมิตร จับใจ" (ไม่เกี่ยวกัน แต่อยู่ดีๆประโยคนี้ก็ผุดขึ้นมาตอนเขียน --") อยากให้สังเกตตรงผนังของบันไดนาคคะ มีลวดลายของดอกบัวอยู่ด้วย น่าจะเป็นดอกบังสี่เหล่า (แม้แต่ผนังบันได ยังแฝงข้อคิด คติธรรมให้เราได้ขบคิด) บรรยากาศรอบคูเมือง ในวันฟ้าหม่นคะ ตอนแรกเรากะไว้ว่าจะชมวัดหลายๆวัด รอบๆคูเมืองเลยคะ แต่ปรากฎว่า ออกมาสายแล้ว และอยากจะไปพิพิธภัณฑ์ภาพวาดสามมิติด้วย ไหนจะไปซื้อของฝากที่กาดวโรรสอีก กลัวจะไม่ทัน ก็เลยตัดสินใจตัดออกจากลิสต์ดีกว่า มุ่งหน้าตรงไปกาดเลย ร้านดำรงค์ กาดวโรรส คนเยอะอย่างกะแจกฟรี ^^ แต่เราก็ไปเป็นหนึ่งในนั้นคะ เสร็จจากภารภิจพิชิตกาดวโรรส ด้วยของที่พรุงพรังเหมือนบ้าหอบแคบหมู ^^ จึงกลับไปเช็คอินที่พักก่อนคะ บ้านเล็กโฮมสเตย์ เรานั่งรถแดงไปคะ ปรากฎว่าเลยไปเดินหาก็งงๆ ก็เลยโทรหาพี่เล็กเจ้าของบ้าน แกก็งงๆกับจุดที่เราอยู่ แกเลยบอกว่า เดี๋ยวจะวนรถหาเรา (น่ารักที่สุดอะ) แกแว็นซ์มอเตอร์ไซต์มารับเราคะ ซ้อนสามกันจนรถพี่แกน่าจะยุบอะ ห้องพักค่อนข้างสะดวกสบายคะ มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมเลย พอเข้าห้องได้ พี่เล็กก็อธิบายขั้นตอนเปิดปิด ประตู ทีวี น้ำอ่ง น้ำอุ่น พร้อม^^ (พี่แกใส่ใจลูกค้ามากๆๆๆๆๆๆ) เข้าห้องน้ำห้องท่า เก็บของเสร็จ เราก็มุ่งหน้าไปพิพิธภัณฑ์สามมิติตามที่ตั้งใจไว้คะ ^^ เพิ่งเปิดเมื่อไม่นานมานี้เองคะ ดูเหมือนจะยังไม่เสร็จดีมากด้วยคะ แต่เปิดให้บริการแล้วคะ นอกจากจะเป็นตากล้องแล้ว ยังต้องเป็นคนจ่ายตังอีกด้วย คริๆ ^^ ไม่ทรงตัดเล็บขบบ้างเลยเหรอมั้งคะ เดี๋ยวเฟืองตัดให้นะมังคะ ^^ สีก็ยังทาไม่เสร็จเรียบร้อย ต้องให้มาช่วยตลอดเลยนะ ^^ ถ้าเป็นคนที่ชอบถ่ายรูป ชอบแอ็คชั่น น่าจะชอบมากๆเลยละคะ แต่เราอายคน ><&nbsp; ต้องทำท่านู้นนี่ คนก็เยอะ เขินอะ (นี่ขนาดมันเขินกันนะ) เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ก็บ่ายสองแล้วคะ เรามุ่งหน้าไป ร้านต๋อง ร้านอาหารพื้นเมืองที่ใครๆก็แนะนำ แต่ไปถึงก็ต้องเสียใจ ป้ายหน้าร้านเขียนว่า ครัวปิดแล้ว เปิดอีกที 4โมงเย็น บ้าแล้ว แล้วชั้นจะกินอะไรละเนี่ย หิวก็หิว คนข้างๆเริ่มมีน้ำโหแล้ว บรึ๋ยยยย น่ากลัว ยิ่งกว่ากล่องข้าวน้อยอีกงะ โอเค เปลี่ยนที่กินโดยไว เดินไป iberry ดีกว่า ตามแผน กินไอติมตะเองจะได้ใจเย็นๆน้าาาาาา ง่อยแดกเลย เจอป้ายนี้ เราโบกรถกลับไปหาข้าวกินแถวคูเมืองดีกว่า เพราะจะไปทัวร์วัดแถวถนนคนเดินที่เห็นวันก่อน นั่งรถมากับป้าคนขายของ เค้าถามว่ามากินไอติมโน๊ตหรือลูก (ห๋า ป้ารู้จัก) คนมาเยอะเลย แล้วก็มาถามว่าทำไมปิด ทำไมเค้าไม่บอกในเฟสบุ๊กก็ไม่รู้เนอะ คนมาหาเยอะแยก (ห๋า รอบสอง ป้ารู้จักเฟสบุ๊ก ไม่ธรรมดาซะแล้ว คุณป้าเมืองเจียงใหม่เจ้าาาาาาา ^^) เราตัดสินใจกลับมากินข้าวที่ ร้านเส้นนวล ขายข้าวซอย อาหารเหนือนี่แหละคะ ข้าวซอยลูกชิ้น o.O ข้าวไก่อบ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวตัง หน้าตั้ง แหนมตุ้มจิ๋ว เอ้ย ไส้อั๋ว o.O อิ่มอร่อยกันแล้ว ตากล้องอารมณ์ดีขึ้น เราก็เข้าวัดเข้าวากันต่อคะ เริ่มต้นกันที่ วัดพันอ้น ตาแป๋วเชียว ในหลายวัดภาพวาดฝาผนังจะเป็นรูปพุทธประวัติ แต่ในวัดนี้ เป็นภาพวาดคะ ภาพวาดของสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา หรือ เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ย้ำคะ ภาพวาดจริงๆ วาดเหมือนมาก เดินถัดไปอีกนิด เป็น วัดสำเภา อุโบสถปิดคะ เราเลยเข้าไปไม่ได้ ได้แค่ถ่ายรูปด้านนอก ในวัดมีนวดแผนโบราณด้วย ออกมาจากวัด ฟ้ามืดตึ๊บมาเลยคะ เราเลยแวะเข้าห้องน้ำที่กาดกลางเมือง เลยแวะไปชิม กาแฟวาวี ชื่อดังซะหน่อย ได้อารมณ์เหงาๆ ไปอีกแบบ รอฝนหยุดตกอยู่หลายชั่วโมง หนาวก็หนาว แอร์ก็เย็น พอฝนปรอยๆ เราก็เดินลุยดอกฝนดุ่ยๆกันนี่แหละคะ มาจอดที่วัด พระเจ้าปันเต้า เป็นอุโบสถไม้ ที่งดงามจริงๆ อันนี้สงสัยมาก ตั้งคนโทน้ำไว้ทำไม หรือจะเอาไว้กรวดน้ำ อันนี้ก็สงสัยอีกเหมือนกัน เห็นที่วัดพันอ้นก็มี แค่ไม่ได้ติดธงไว้ แล้วเราก็เดิน ยาวกันมาถึง วัดเจดีย์หลวง ที่ที่เราจะมาเวียนเทียนกัน อีกมุมหนึ่งของทุกๆวัด ที่เราชอบดูมาก คือ บันไดนาค พระเจดีย์หลวงสร้างขึ้นในรัชสมัยของพญาแสนเมืองมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา แต่สร้างไม่เสร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวี พระมเหสีของพญาเมืองมา ก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน เรียกกันว่า “กู่หลวง” พญาติโลกราช โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเป็นนายช่างใหญ่ดำเนินการปฏิสังขรณ์รพระเจดีย์หลวง ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2021 ในรัชสมัยพระเจ้ายอดเชียงรายได้ปิดทองภายในซุ้มจรนัมของพระเจดีย์ หลวงทั้ง 4 ด้าน ในรัชสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว เมื่อ พ.ศ. 2046 ได้โปรดให้สร้างหอพระแก้ว และอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาประดิษฐาน สร้างมหาวิหาร ส่วนการบูรณะพระเจดีย์หลวงได้ดำเนินการเพียงเล็กน้อย ในที่สุดเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปีพ.ศ. 2088 ในรัชสมัยพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภา ยอดพระเจดีย์หลวงก็พังทลายลงมา เหลือให้เห็นดังสภาพปัจจุบัน (ก่อนการบูรณะของกรมศิลปกร) มหาเจดีย์หลวงที่พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีทรงก่อสร้างนั้น พระนางทรงให้ยกฉัตรยอดมหาเจดีย์ แล้วปิดด้วยทองคำ พร้อมทั้งเอาแก้ว 3 ลูก ใส่ยอดมหาเจดีย์นั้นไว้ ประดับด้วยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูป พญานาคปั้นเต็มตัว 8 ตัว ตัวละ 5 หัว อยู่ใน 2 ข้างบันได รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ตั้งอยู่ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวงนั้นมี 28 เชือก แต่ในประวัติศาสตร์มีเพียง 8 เชือกเท่านั้น ที่มีการตั้งชื่อให้เฉพาะ ซึ่งชื่อช้าง 8 เชือกที่ล้อมเจดีย์หลวง นับจากนับตามลำดับตั้งแต่ตัวที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) เวียนมาตามทิศตะวันออก มีดังนี้ ตัวที่1เมฆบังวันตัวที่2ข่มพลแสน ตัวที่3ดาบแสนด้ามตัวที่4หอกแสนลำ ตัวที่5ก๋องแสนแหล้งตัวที่6หน้าไม้แสนเปียง ตัวที่7แสนเขื่อนก๊านตัวที่8ไฟแสนเต๋า การสร้างรูปปั้นช้างนั้น เป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์เพื่อให้เมืองมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพิธีการสักการบูชาพญาช้างทั้ง 8 เชือก เพราะเชื่อว่า จะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูไม่กล้ามารุกรานย่ำยีเมืองได้ เพราะชื่อพญาช้างที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่บดบัง ขวางกั้น กำจัด ปราบปรามอริราชศัตรูที่จะมารุกราน ให้แพ้ภัยแตกพ่ายหนีไปเอง ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายดังนี้ เมื่อศัตรูยกพลเสนามารุกราน ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักร จะเกิดอาเพศ ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆหมอกปกคลุม ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน น่ากลังยิ่งนัก ทำให้ผู้รุกรานหวาดผวาภัยพิบัติ ตกใจกลัวแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “เมฆบังวัน” เมื่อผู้รุกรานยกทัพเข้ามาใกล้ แม้จะมีพลโยธาทหารกล้าเรือนแสน ก็จะเกิดอาการมึนเมาลืมหลง ไม่อาจครองสติยับยั้งอยู่ได้ ต้องระส่ำระส่าย แตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ข่มพลแสน” เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีศาตรา มีด พร้า ด้ามคมเป็นแสนๆเล่ม ก็ไม่อาจเข้าใกล้ทำร้ายได้ มีแต่จะเกิดหวาดหวั่นขาดกลัวแตกหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ดาบแสนด้าม” เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามารานรบ แม้จะมีกำลังพลกล้าหาญมากมาย มีศาสตราอันคมยาว หอกแหลนหลาวเป็นแสน ก็ไม่อาจเข้ามาราวีได้ จึงต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หอกแสนลำ” เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลจำนวนมาก มีอาวุธปืนเป็นแสนกระบอก ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ปืนแสนแหล้ง” เมื่อผู้รุกรานบุกรุกเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีหน้าไม้คันธนูเป็นแสนๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หน้าไม้แสนเกี๋ยง” เมื่อข้าศึกอาจหาญล้ำแดนเข้ามา แม้ด้วยกำลังพลหัตถีนึก กองทัพช้างมีเป็นแสนเชือก ก็ไม่อาจหักหาญเข้ามาได้ มีแต่จะอลม่านแตกตื่นแกหนีไปสิ้น จึงได้ชื่อว่า “แสนเขื่อนกั้น” (บางแห่งเป็น แสนเขื่อนก๊าน) เมื่อข้าศึกเข้ามาหมายย่ำยี ก็จะเกิดอาการร้อนเร่าเหมือนเพลิงเผาผลาญรอบด้าน เลยแตกพ่ายหนีไปด้วยความทุกข์ทรมาน จึงได้ชื่อว่า “ไฟแสนเต๋า” ่อ่านประวัติของวัดเจดีย์หลวงต่อได้ใน wikipedia นะคะ ประวัติน่าสนใจทีเดียวคะ สำหรับวัดนี้ นี่ถ้าได้อ่านก่อนไปเที่ยว คงสนุกกว่านี้มากๆ เลย^^ หลังจากนั้นเราก็นั่งรอฟังเทศน์ เวียนเทียนกันคะ คนเยอะมาก ทั้งไทยและเทศ (นานมากแล้วที่ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้) เสร็จจากงานเราก็เดินกลับคะ แวะซื้อกับข้าวริมคูเมือง ไปกินที่ห้อง มีทั้งข้าวเหนียว ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ปลาทอด ผักต้ม แกงเห็ด ทำเอาเด็กใต้ลืมแกงพุงปลากันเลยทีเดียว ^^ วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าคะ ต้องรีบไปขึ้นเครื่องกลับหาดใหญ่ ต้องโบกมือลาเชียงใหม่แล้วเหรอเนี่ย T^T เช้านี้พี่เล็กต้อนรับเราด้วย อาหารเช้า + กาแฟ +ผลไม้อีก โอ้ยยยย อิ่ม กินเสร็จก็ถึงเวลาไปสนามบินจริงๆ แอบเสียดายที่ได้ไปเที่ยวน้อยมาก หวังว่าวันหลังจะได้เจอกันอีกนะ บ๊ายบายเจียงใหม่