ตามที่ผมเคยกล่าวไว้ในตอนต้นของบทความเรื่อง "ไหว้ศาลหลักเมืองแห่งที่สอง หนึ่งในอนุสรณ์นครบาลเพชรบูรณ์" ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ทรูไอดีแห่งนี้ ว่า ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาทำงานที่เพชรบูรณ์ ได้ไปสักการะศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์ตามธรรมเนียมประเพณี และด้วยความที่ศาลหลักเมืองซึ่งอยู่ในตัวเมือง ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ทำให้มีโอกาสผ่านไปผ่านมาและแวะเวียนไหว้ศาลฯ ได้อยู่บ่อย ๆ อีกทั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่า ศาลหลักเมืองที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีการออกแบบอย่างสวยงาม เหมาะแก่การเป็นจุดท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ประกอบกับต่อมาได้สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาแล้วพบว่ามีความน่าสนใจ วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้ให้มากขึ้น ศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองเพชรบูรณ์นี้ มีประวัติเล่าว่า สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ.2443 โดยท่านเจ้าเมืองสมัยนั้น คือ หลวงนิกรเกียรติคุณ ว่ากันว่า เสาหลักเมืองที่ประดิษฐานอยู่ด้านในศาล อันเป็นเสาหินเก่าแก่นั้น เดิมคือศิลาจารึกเก่าที่คาดว่าได้มาจากเมืองโบราณศรีเทพ (ปัจจุบันคืออำเภอหนึ่งของเพชรบูรณ์) และนำมาไว้ที่วัดมหาธาตุ ก่อนที่ท่านเจ้าเมืองจะให้เชิญมาเป็นเสาหลักเมืองประดิษฐานที่ศาลหลักเมืองดังกล่าว ทำให้เสาหลักเมืองของที่นี่มีความพิเศษกว่าที่อื่น คือ มีจารึกโบราณอยู่ทั้งสี่ด้านของเสา แต่ดูเหมือนความพิเศษของเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ที่ว่านี้ จะถูกบดบังไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ด้วยธรรมเนียมการปิดทองและผูกผ้าบูชาเสา จนทำให้มองไม่เห็นร่องรอยจารึก จนกระทั่งรอยจารึกได้ถูกค้นพบและปรากฎอีกครั้งเมื่อประมาณ พ.ศ.2548 โดย ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ ที่ได้มาบูรณะปรับปรุงพื้นที่ และทำความสะอาดเสาโดยลอกแผ่นทองและผ้าผูกเสาออกจนปรากฎรอยจารึก ซึ่งได้ประสานกรมศิลปากรตรวจสอบ พบว่าเป็นการจารึกสองช่วงเวลา คือ ด้านหนึ่งที่เก่าที่สุด จารึกเป็นภาษาขอม ภาษาสันสฤต 22 บรรทัด จารึกเมื่อประมาณ พ.ศ.1564 เนื้อความเป็นการบูชาพระศิวะในศาสนาพราหมณ์ ส่วนอีกสามด้าน จารึกเป็นอักษรขอม ภาษาไทย บาลี และเขมร เมื่อประมาณ พ.ศ.2059 เนื้อความเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของจารึกดังกล่าว ได้มีการจัดแสดงไว้ที่หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ศาลหลักเมืองนั่นเอง จึงอาจกล่าวได้ว่า ศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้ นอกจากจะเป็นสถานที่อันมีคุณค่าทางจิตใจ ในแง่ของความศรัทธาในความศักดิ์สิทธิตามความเชื่อแล้ว ยังมีคุณค่าในแง่ของประวัติศาสตร์ คือเป็นที่ประดิษฐานของเสาหลักเมือง ที่ได้ชื่อว่าว่าเป็นเสาหลักเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และมีลักษณะพิเศษทั้งตัวเสาที่เป็นหิน และจารึกโบราณที่ปรากฎบนเสา ดังที่เล่ามานี้ด้วย นอกจากนี้ อย่างที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้ตอนต้นว่า ศาลหลักเมืองเพชรบูรณ์แห่งนี้มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งหนึ่ง ที่เรยกว่าเป็นศาลทรงไทยตรีมุข ที่มีการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะไปเยี่ยมชมช่วงเวลาใดก็จะสัมผัสความสวยงามนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมในช่วงเวลากลางคืนที่มีแสงไฟเพิ่มความสง่างามของศาล ผมเชื่อว่าคุณก็น่าจะต้องมนต์เสน่ห์ของที่แห่งนี้เหมือนผมได้ไม่ยาก ดังนั้น ถ้ามาถึงเพชรบูรณ์แล้ว ก็อยากให้คุณได้แวะเวียนไปเที่ยวชมและสักการะศาลหลักเมืองแห่งนี้ ที่อยู่ในเมืองเพชรบูรณ์ ถามพิกัดจากน้องจี (จีพีเอส) ได้ไม่ยาก ที่จอดรถก็หาไม่ยากเช่นกัน เพราะหากไม่สะดวกจอดด้านหน้าศาล (ซึ่งส่วนตัวผมไม่แนะนำ เพราะบางทีเป็นการกีดขวางการจราจร และบดบังทัศนวิสัยของคนอื่น) ก็สามารถจอดรถได้ที่ลานด้านหน้าหอวัฒนธรรมเพชรบูรณ์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเดินข้ามถนนไปที่ศาลได้ ภายในศาลมีดอกไม้ธูปเทียนทองไว้อำนวยความสะดวกให้อยู่แล้ว ศาลเปิดให้เข้าสักการะได้ทุกวัน ประมาณ 06.00 - 18.00 น. แต่ถ้าเป็นวันศุกร์ซึ่งมีการจัดตลาดนัดถนนคนเดิน เพ็ด - ซะ - บูน ก็สามารถเข้าไปสักการะหรือเที่ยวชมได้ในยามค่ำคืน ที่จะได้พบกับอีกบรรยากาศหนึ่งดังที่กล่าวไว้แล้ว ภาพประกอบและภาพปกบทความ โดย 31singha