รีเซต

เรียบแต่โก้ ! โรงแรมญี่ปุ่น DDD Hotel สไตล์มินิมอล สายอาร์ทต้องปักหมุด

เรียบแต่โก้ ! โรงแรมญี่ปุ่น DDD Hotel สไตล์มินิมอล สายอาร์ทต้องปักหมุด
nnanthisin
9 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:00 )
1.3K
1

        เที่ยวญี่ปุ่น ปี 2020 นี้ แพลนที่พักไว้ในใจกันหรือยังเอ่ยยย ? วันนี้เรามีที่พักสุดคูลมาฝากกัน ! รับรองว่าต้องถูกใจสายอาร์ทแน่นอน เพราะ DDD Hotel โรงแรมที่ตั้งอยู่เมืองโตเกียว เค้ามาในสไตล์มินิมอล เรียบแต่โก้ !!! ใครชอบอะไรเรียบง่าย แต่มีสไตล์ต้องปักหมุดไว้ให้ดี ตามเราไปดูกันดีกว่า ว่าจะคูลจนดีต่อใจขนาดไหน

 

 

ที่พัก โรงแรม ญี่ปุ่น สไตล์มินิมอล

 

 

        ทั้งโรงแรมมีป้ายบอกแค่นี้ เดินผ่านไปหากมองไม่ดี แทบมองไม่เห็น แต่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมบูทีคที่ต้องการซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสังคมที่เคลื่อนไหว

 

 

        ชอบโคมไฟรูปนี้ เป็นเพียงตู้ยาวธรรมดาหน้าลิฟท์ ที่ไม่มีอะไรประดับเลยนอกจากโคมไฟหนึ่งชิ้น พร้อมป้ายบอกข้อมูลการให้บริการของโรงแรม

 

 

        อาคารก่ออิฐสีน้ำตาลที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอาคารอื่นๆ น้อยใหญ่ในโตเกียวย่าน Bakurocho ย่านขายผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บ คล้ายกับพาหุรัดของญี่ปุ่น ประตูสีทองเหลืองที่มีป้ายเล็กๆ บอกไว้ด้านซ้าย แทบจะไม่มีข้อมูลอื่นใดบ่อบอกว่านี่คือ "โรงแรม"

 

 

 

        ผมชอบการเล่นสี แสง และเงา บนความว่างเปล่าของพื้นและผนัง ทำให้เรารู้สึกถึงความเรียบง่ายที่ปรากฎ คล้ายกับว่าเราได้หยุดพักจากความวุ่นวาย ของเส้น สี แสง เสียง ภายนอก มาสู่โลกแห่งการพักผ่อนที่สงบนิ่ง ก่อนที่จะไปเผชิญโลกใบเดิมในวันใหม่ต่อไป

        กวาดตามองชั้นล่าง ไม่มีผู้คนใด ไม่วุ่นวายเหมือนโรงแรมทั่วไป มีเพียงผนังโล่งๆ และงานศิลปะหนึ่งชิ้น ที่จัดเก้าอี้ไว้ให้เรานั่งมอง แต่ในขณะเดียวกัน หากเราหันไปอีกด้าน มองผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปข้างนอก นั่นคือความพลุกพล่านของผู้คน รถรา วิ่งกันวุ่นวาย ตามประสาเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ช่างเป็นภาพที่คอนทราสกันทางความรู้สึกอย่างยิ่ง

 

 

        ด้านซ้ายเป็นทางไปแกลอนี่ชื่อ PARCEL เป็นพื้นที่รวมงานศิลปะดีๆ ที่อยากให้คนที่ผ่านไปมาได้แวะเข้ามาชม ออกแบบอย่างเรียบง่าย ล้อไปกับความเป็นโรงแรม

 

 

        โถงกลางมีโต๊ะตั้งอยู่หนึ่งตัว พร้อมป้ายบอกว่า เช็คอินเชิญที่ชั้น 2 พร้อมลูกศรชี้ไปที่ลิฟท์

       

 

        ขึ้นมาชั้นบนจะมีโซฟ้าที่เขียวโทนต่างๆ ตั้งอยู่พร้อมโคมไฟสไตล์ลอยตัว ไว้ให้แขกนั่งรอเช็คอินและเป็นพื้นที่รับรองไปในตัว จัดวางอย่างเรียบง่าย มีเพียงสีเขียว ดำ ขาว เท่านั้น คุมโทนดีมาก

 

 

        เช็คอิน เช็คเอ้าท์ ผ่านเครื่องอัตโนมัติ ตอนนี้หลายโรงแรมในญี่ปุ่นเป็นแบบนี้หมด ใช้งานง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงวางพาสปอร์ตทาบลงกับเครื่องอ่านด้านขวาบน จากนั้นหน้าจอจะแสดงข้อมูลการจองของเรา กดยืนยัน เครื่องจะมอบคีย์การ์ด ใบเสร็จและคูปองอาหารเช้าให้ ง่ายและสะดวกมากครับ

 

 

       ล็อบบี้เปิดโล่งให้เห็นพื้นด้านล่าง เป็นคล้ายกับบ่อน้ำ ส่วนผนังเจาะหน้าต่างกว้างให้รับแสงธรรมชาติและเห็นวิวจากด้านนอก แทนการใช้ภาพประดับตกแต่งทั่วไป

 

 

        ผนังทั้งแถบของชั้น 2 แทบจะเป็นกระจกบานใหญ่เปิดโล่ง อีกด้านจัดเป็นเก้าอี้พร้อมเค้าท์เตอร์บาร์ สามารถมานั่งจิบกาแฟดีๆ ได้ที่นี่ เสิร์ฟพร้อมวิวสวยๆ ของญี่ปุ่นด้านนอก ราวกับงานศิลปะมีชีวิต ผมว่าคิดถูกมากที่เลือกจองโรงแรมนี้

 

 

        คาเฟ่พอกรุบกริบ มีขนมขาย เบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่นนี่มันช่างจุ๋มจิ๋มน่ารักพอดีคำ แถมยังทำออกมาอร่อย เนื้อเบาๆ กัดแปบๆ ก็หมด กินกับกาแฟเข้มๆ เข้ากันดีมาก

 

 

        หรือใครอยากจะหอบงานมาทำที่นี่ ก็มีบริการปลั๊กไฟ ไวไฟ ให้พร้อมครับ น่าอิจฉาคนญี่ปุ่นนะ มีคาเฟ่ สวยๆ เต็มเมืองไปหมด

 

 

        ขึ้นห้องดีกว่าครับ รีเควสไปว่าขอห้องชั้นสูงเลยได้ชั้น 8 จากทั้งหมด 10 ชั้น หน้าบานเป็นแบบเรียบง่าย ใช้สีเขียวมอสเป็นหลัก ผมล่ะยอมใจในการคุมโทนจริงๆ

 

 

        ผมพักห้องสำหรับ 1 คนเป็นเตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ ห้องไม่ใหญ่มาก ราวๆ 14-15 ตารางเมตร แต่ก็เพียงพอสำหรับการพักคนเดียว มีหมอนจัดให้เรียบร้อย 3 ใบ ไฟหนึ่งดวง ที่นี่บอกตั้งแต่แรกว่าเน้นเรื่องเตียงและผ้าปูคุณภาพสูง เตียงนุ่นมาก หลับสบาย ให้คุณภาพการนอนที่ดี

 

 

        ภาพเต็มๆ ของห้อง เน้นการใช้สีเขียวมอส และแสงธรรมชาติ ช่วยให้ห้องสว่างขึ้นอย่างสดชื่น หัวเตียงมีเพียงไฟหนึ่งหลอด และไอแพดที่คอยสั่งการและให้ข้อมูลด้านต่างๆ เกี่ยวกับที่พัก

 

 

        วิวจากหน้าต่างมองเห็นบ้านเรือนคนญี่ปุ่นที่อยู่กันตามตึกเยอะเหมือนกัน เนื่องเพราะไม่ค่อยนิยมซื้อบ้าน เพราะภาษีแพง รายจ่ายเยอะ เน้นที่พักใกล้รถไฟ จะได้เดินทางสะดวก

 

 

        ปลั๊กไฟเป็นแบบหัวแบนตามสไตล์ญี่ปุ่น หากใครมีสายชาร์ตหรือปลั๊กหัวกลม อาจจะต้องเตรียมหัวปลั๊กอินเตอร์ ติดมาด้วย แต่ส่วนมากผมก็นิยมพกไว้ในกระเป๋าเดินทางเลย เพราะไม่รู้ว่าโรงแรมไหนจะเจอปลั๊กแบบไหน เอาหัวแปลงแบบเดินทางได้ทั่วโลกมาใช้ด้วยจะดีที่สุด

 

        ทางโรงแรมจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคล้ายกับบิสสิเนสโฮเทลทั่วไป ลูกค้ามักจะมาพร้อมกับกระเป๋าบรีฟเคสหนึ่งใบ ส่วนชุดนอน ผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน มีดโกน มาเอาที่โรงแรมได้ จึงต้องเตรียมไว้ให้พร้อม

 

 

        ตู้เย็นจะซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งซ่อนในผนังข้างเตียงอีกที มีน้ำเปล่าขวดเล็กๆ ให้ 2 ขวด ขวดดีไซน์สวยดี ดูเรียบง่าย จนผมต้องเก็บกลับมาเมืองไทย

 

 

        ตู้เย็นจะซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งซ่อนในผนังข้างเตียงอีกที มีน้ำเปล่าขวดเล็กๆ ให้ 2 ขวด ขวดดีไซน์สวยดี ดูเรียบง่าย จนผมต้องเก็บกลับมาเมืองไทย ห้องน้ำเป็นแบบเรียบๆ ห้องนี้มีฝักบัวไม่มีอ่างอาบน้ำ ส่วนการจัดแสงและตกแต่งในห้องน้ำทำออกมาได้สวยดี ชอบการเรียงตัวของ Amenity ทั้ง 3 ขวด ผมว่าได้องศาดีมาก

 

 

 

        วิวจากหน้าต่างห้องนอน ผมถ่ายขอบหน้าต่างมาเป็นกรอบรูปด้วย สวยดีครับ และกลิ่นดิฟฟิวเซอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะของโรงแรม ให้ความรู้สึกลึกลับแต่ไม่ซับซ้อน กลิ่นติดจมูกมาก จนอยากถามว่ามีขายไหม

 

 

 

        ที่นี่ให้บริการอาหารเช้าด้วยครับตั้งแต่ 7 โมง ใช้พื้นที่เดียวกับล้อบบี้และคาเฟ่ เมนูก็มีอย่างเรียบง่าย หลักๆ ตามสไตล์คนญี่ปุ่นเลยคือ สลัด ไส้กรอก ไข่ แฮม คอนเฟลก โยเกิร์ต กาแฟ น้ำผลไม้ ฯลฯ

 

 

 

        อาหารเช้าที่นี่เกือบคลีน ผมชอบทานสลัดไป 2 จาน เพราะอยากลองทานน้ำสลัดที่มีให้เลือกหลากหลาย ส่วนไข่ต้มญี่ปุ่นจะสีขาวครับ นุ่มดี ครัวซองก์คือดีย์มาก ทานกับกาแฟก็เข้ากันดีครับ ผมชอบความคริสปี้ของเบเกอรี่ที่บางแต่กรอบดี เบเกอรี่ที่นี่เนื้อนุ่มไม่หนักครับ

 

        มุมอาหารเช้าที่นี่นั่งหลากหลาย เลือกได้ตามใจชอบ ทานเสร็จแล้วให้นำถาดจานชามไปไว้ในชั้นวาง

 

 

        มุมที่นั่งสำหรับทานอาหาร และคาเฟ่มีหนังสือครีเอทีฟเก๋ๆ ให้บริการยืมอ่าน

 

 

        โรงแรมแบบนี้ถ้ามาเจอกับกลุ่มเพื่อนคอเดียวกัน ก็จะสนุกสนานกับการแลกเปลี่ยนทัศนะ คุยกันเรื่องศิลปะ ไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรม สังคม คุยกันได้เรื่อยเปื่อย จนบางทีแทบไม่ได้ออกไปไหน

 

 

        โดยสรุป ผมให้ 10 เต็มสำหรับโรงแรม DDD ที่ราคาไม่แพงนัก แต่ถูกจริตคนติดดีไซน์เก๋ๆ มินิมอลไลฟ์ เดินทางง่าย ใกล้รถไฟฟ้าไม่ถึง 1 นาที

 

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพประกอบ : KΔNT