ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมักนึกถึง “เยาวราช” ในนาม “ไชน่าทาวน์กรุงเทพฯ” ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีนที่ย้ายเข้ามาอาศัยและทำมาหากินในประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตยาวนานจนถึงปัจจุบัน แต่ทราบหรือไม่คะว่า... กว่าจะเป็นชุมชนเยาวราชอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันมีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันบ้าง? วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ผู้อ่านทุกคนมาเที่ยวชมและสัมผัสวิถีชีวิตแบบจำลองของชาวจีนในเยาวราชให้ได้เรียนรู้กันที่ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช” ค่ะ ^^ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช” ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของพระมหามณฑป ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนชาวจีนที่ได้หอบเสื่อผืนหมอนใบนั่งเรือสำเภาย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานในเยาวราชบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ห้องตามช่วงเวลา/ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ห้องที่ 1 เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี, ห้องที่ 2 กำเนิดชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 - 2394), ห้องที่ 3 เส้นทางสู่ยุคทอง (พ.ศ.2394 - 2500), ห้องที่ 4 ตำนานชีวิต Hall of Fame, ห้องที่ 5 พระบารมีปกเกล้าฯ และห้องที่ 6 เยาวราชวันนี้ค่ะ ก่อนเข้าชม “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช” อย่าลืมลงทะเบียนที่เคาน์เตอร์เพื่อเข้าชมฟรีนะคะ ซึ่งคนไทยเข้าชมฟรี ส่วนชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 100 บาท แต่หากต้องการกราบไหว้องค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ “หลวงพ่อทองคำ” ที่ชั้น 3 ด้วยจะเสียค่าเข้าชมเป็นบัตรรวมคนละ 140 บาทค่ะ หลังจากลงทะเบียนแล้วก็เข้าชม “ห้องที่ 1 เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี” กันเลยจ้า “ห้องที่ 1 เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี” เป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวของชาวจีนหรือผู้คนในชุมชนเยาวราชที่ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งห้องนี้แบ่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนแรกเป็นห้องฉายวีดิทัศน์การสนทนาของอากงกับหลานชาย เพื่อทำความรู้จักเบื้องต้นของชุมชนชาวจีนในย่านสำเพ็งและเยาวราช โดยฉายเป็นรอบ ๆ ทั้งหมด 8 รอบ ใช้เวลารอบละ 1 ชั่วโมง ส่วนอีกโซนเป็นแผ่นป้ายความรู้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของชุมชนเยาวราช รวมถึงตัวอย่างสินค้าส่งออกของไทยที่ค้าสำเภากับประเทศจีนค่ะ หลังจากชมห้องที่ 1 ครบทั้ง 2 โซนแล้วก็เดินทะลุใต้ท้องเรือสำเภาหัวแดงที่สร้างและจำลองบรรยากาศได้เสมือนจริง เพื่อไปยัง “ห้องที่ 2 กำเนิดชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 - 2394)” ซึ่งเหตุที่เรียกว่า “เรือสำเภาหัวแดง” ก็เพราะว่าเป็นเรือสำเภาจีนที่ทาสีแดงบริเวณหัวเรือนั่นเอง โดยเรือลำนี้นอกจากจะบรรทุกสินค้าต่าง ๆ แล้วยังนำพาชาวจีนจำนวนมากมาหางานทำในประเทศไทยอีกด้วยค่ะ “ห้องที่ 2 กำเนิดชุมชนจีนแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 - 2394)” เป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับการกำเนิดชุมชนจีนในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1-3) เช่น การอพยพอาศัยและทำมาหากินบนผืนแผ่นดินไทยของชาวจีนโพ้นทะเล, การเดินทางด้วยเรือสำเภาที่ฝ่าทั้งพายุ/คลื่นลมมรสุมกลางท้องทะเลกับโรคภัยไข้เจ็บ/ความอดอยากอาหาร-น้ำที่อาจเกิดขึ้นก่อนจะเทียบท่าเรือสำเพ็งค่ะ “ท่าเทียบเรือสำเพ็ง” เป็นท่าเทียบเรือที่อยู่ใกล้พระนครมากที่สุด ซึ่งมีเรือสินค้ามาจอดเปิดตลาดกันอย่างคึกคักบนดาดฟ้าของเรือ โดยสินค้าส่วนหนึ่งจะถูกลำเลียงไปยังร้านค้าต่าง ๆ ในสำเพ็งที่เป็นย่านการค้า/ตลาดใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้น อีกทั้งบริเวณโดยรอบของสำเพ็งยังมีบ้านเรือนและเรือนแพตั้งอยู่เรียงรายตามริมแม่น้ำค่ะ นอกจากนั้นห้องที่ 2 ยังมีการจำลองบรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวจีนในยุคนั้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า, หาบก๋วยเตี๋ยว, ร้านเครื่องทองเหลือง, ร้านขายของชำ, ร้านขายถ้วยชามกระเบื้อง, ร้านข้าวต้ม และร้านโคมไฟ ซึ่งแต่ละโซนจะมีป้ายความรู้ให้ได้อ่าน และสามารถเดินชมได้อย่างเพลิดเพลิน ที่สำคัญคือมีสิ่งของ/อาหารบางอย่างที่หาได้ยากในปัจจุบันค่ะ อย่างเช่น หาบก๋วยเตี๋ยว, จุ๋ยก้วย (ขนมถ้วยจีนโบราณ), โคมไฟกระดาษ เป็นต้น “หาบก๋วยเตี๋ยว” เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่ผู้ขายหาบอุปกรณ์เดินเร่ขายไปตามที่ต่าง ๆ ในยุคนั้นลูกค้าจะต้องนำชามมาใส่ก๋วยเตี๋ยวเอง ซึ่งก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารเส้นที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าใส่เครื่องประกอบต่าง ๆ ลงไปและราดน้ำซุปใส่ชาม โดยคนจีนแต้จิ๋วนำมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมในเมืองไทยค่ะ “จุ๋ยก้วย” เป็นขนมถ้วยจีนโบราณที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าแล้วใส่ลงในถ้วยนำไปนึ่งจนสุก โรยหน้าด้วยกระเทียมกับหัวไชโป๊วสับละเอียดและปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซึ่งจุ๋ยก้วยถือเป็นของกินเล่นที่นิยมของชาวจีนเนื่องจากอิ่มท้องและราคาถูก ปัจจุบันหากินได้ยากมากค่ะ “ร้านโคมไฟ” เป็นร้านขายโคมไฟกระดาษที่มีทั้งแบบใช้ตามบ้านเรือนและแบบใช้ในพิธีต่าง ๆ ของชาวจีน ซึ่งในชุมชนจีนจะมีคนสานโคมขายเป็นอาชีพ อีกทั้งยังรวมไปถึงการเขียนตัวอักษรลงบนโคม โดยโคมสำหรับแขวนหน้าร้านค้ามักเขียนชื่อร้านเป็นตัวอักษรสีแดง ส่วนโคมที่ใช้ในงานศพจะเขียนตัวอักษรสีน้ำเงินค่ะ เมื่อเดินชมวิถีชีวิตของชาวจีนย่านสำเพ็งในสมัยนั้นจนครบแล้วก็เข้าไปชม “ห้องที่ 3 เส้นทางสู่ยุคทอง (พ.ศ.2394 - 2500)” กันต่อ แต่ระหว่างทางเดินไปยังห้องถัดไปเป็นห้องจัดแสดงแผ่นป้ายความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เรือกลไฟ, ชาวจีนในเมืองไทยยุคก้าวสู่สมัยใหม่ และสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกับประเทศจีนตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลที่ ๙ ค่ะ “ห้องที่ 3 เส้นทางสู่ยุคทอง (พ.ศ.2394 - 2500)” เป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวพัฒนาการของชุมชนจีนจากตลาดสำเพ็งสู่ความเป็นย่านธุรกิจสมัยใหม่บนถนนเยาวราช ซึ่งห้องนี้แบ่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนสำนักงานบริษัทค้าข้าวที่จำลองบรรยากาศได้เสมือนจริง กับโซนโมเดลขนาดใหญ่ที่จำลองถนนเยาวราชทั้งเส้นและร้านค้าบ้านเรือนต่าง ๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2500 โดยในยุคนี้ถือได้ว่าเป็นยุคทองหรือยุคเฟื่องฟูทางด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และการบันเทิงเลยทีเดียวค่ะ “สำนักงานบริษัทค้าข้าว” เป็นห้องที่จำลองบรรยากาศภายในบริษัทส่งออกข้าวไทยได้เสมือนจริง มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการตรวจคุณภาพข้าวตั้งอยู่บนโต๊ะและตู้ชั้นวางของให้ได้ชม เช่น ถาดฉ่ำข้าว, ขวดโหลเก็บตัวอย่างข้าวที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ, ห่อตัวอย่างข้าวจากหยง (นายหน้าค้าข้าว), ตะแกรงร่อนข้าว, ชามสังกะสีใส่ตัวอย่างข้าว เป็นต้น ซึ่งธุรกิจค้าข้าวถือเป็นธุรกิจสำคัญอันเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ และความเจริญรุ่งเรืองของย่านเยาวราชนั่นเองค่ะ เดินถัดมาอีกห้องจะเป็นโซนจัดแสดงโมเดลขนาดใหญ่ที่จำลองถนนเยาวราชทั้งเส้นตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ส่วนบริเวณผนังโดยรอบจะเป็นตู้กระจกที่จัดแสดงโมเดลจำลองร้านค้าต่าง ๆ บนถนนเส้นนี้ ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตึกแถวสมัยใหม่ทั้งสองข้างถนนให้เช่าที่สำหรับทำการค้าขายและเปิดโอกาสให้ชาวจีนได้เริ่มต้นกิจการของตนเองจนเกิดเป็นย่านธุรกิจการค้าแห่งใหม่ โดยถนนเยาวราชจะมีทั้งตลาด, ภัตตาคาร, โรงงิ้ว, ร้านโพยก๊วน, วัดจีน, ร้านจันอับ, ร้านทอง, โรงเรียนจีน, ร้านหนังสือพิมพ์จีน, โรงพยาบาลเพื่อคนยากไร้, ศาลเจ้า, โรงภาพยนตร์, โรงน้ำชา และย่านร้านนาฬิกาค่ะ “โรงงิ้ว” เป็นสถานที่จัดแสดงงิ้วที่ถือเป็นศิลปะการแสดงอันเก่าแก่ของชาวจีน ส่วนมากมักสร้างโรงงิ้วขึ้นแบบชั่วคราวตามสถานที่ที่ไปแสดงในงานบุญใหญ่ ๆ ซึ่งในยุคเฟื่องฟูของแหล่งบันเทิงมีโรงงิ้วถาวรที่สร้างอย่างใหญ่โตแบบโรงภาพยนตร์เกิดขึ้นหลายโรงตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันตามสองฝั่งถนนย่านเยาวราช ได้แก่ โรงงิ้วตงเง็กที่เป็นโรงงิ้วยอดนิยม, โรงงิ้วอิไล้, โรงงิ้วตงเจี่ย, โรงงิ้วบ่วยเจี่ย, โรงงิ้วไซฮ้อ และโรงงิ้วตงเจี่ยสุง โดยโรงงิ้วที่เยาวราชส่วนใหญ่เป็นงิ้วแต้จิ๋วมักนิยมแสดงเรื่องในประวัติศาสตร์ที่มีคติสอนใจ โรงงิ้วจึงถือได้ว่าเป็นแหล่งความบันเทิงและการถ่ายทอดความรู้/คติธรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือค่ะ “ร้านโพยก๊วน” เป็นร้านให้บริการธุรกรรมทางการเงินนอกระบบของชาวจีน ซึ่งชาวจีนที่เดินทางมาทำงานในเมืองไทยมักจะส่ง “โพยก๊วน” หรือจดหมายพร้อมเงินกลับบ้านเพื่อส่งเสียเงินหาเลี้ยงครอบครัวที่ประเทศจีน โดยที่ร้านจะมีกระดาษใบเล็กให้ผู้ส่งเขียนข้อความถึงญาติพี่น้องและบอกจำนวนเงินที่ส่ง และแต่ละร้านจะให้บริการส่งเฉพาะถิ่นและตู้แยกโพยก๊วนตามแซ่เพื่อนำส่งถึงบ้านของผู้รับ นอกจากนั้นทางร้านยังมีบริการอื่น ๆ อีก อาทิเช่น เขียนตามคำบอกสำหรับลูกค้าที่เขียนหนังสือไม่เป็น, ให้กู้ยืมเงินสำหรับลูกค้าที่ไม่มีเงินส่งกลับบ้าน, บริการไปรับเงินถึงบ้านสำหรับลูกค้าที่ฐานะดี เป็นต้น ถือได้ว่าร้านโพยก๊วนเป็นสายสัมพันธ์หรือสื่อความผูกพันของชาวจีนที่มีต่อบ้านเกิดค่ะ “ร้านจันอับ” เป็นร้านขายขนมหวานแบบแห้งหลากหลายชนิดของชาวจีน เช่น ข้าวพอง, ถั่วตัด, งาตัด, ถั่วลิสงเคลือบ และฟักเชื่อม เป็นต้น สำหรับกินคู่กับน้ำชา ซึ่งขนมจันอับเป็นทั้งของกินเล่นในชีวิตประจำวัน, ใช้รับรองแขก, เป็นของไหว้เจ้า และเป็นขนมมงคลตามคติของชาวจีนที่เชื่อว่าความหวานเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและหมายถึงความเจริญงอกงาม โดยในย่านเยาวราชมีร้านจันอับอยู่หลายร้านเป็นกิจการในครอบครัวที่ถ่ายทอดสูตรการทำขนมจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนั้นยังมีขนมเปี๊ยะกับสิงโตน้ำตาลที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยค่ะ “ร้านทอง” เป็นร้านขายทองคำที่มีทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณหลากหลายรูปแบบ เช่น สร้อยคอ, สร้อยข้อมือ, แหวน, กำไล, ต่างหู เป็นต้น ซึ่งชาวจีนมักนิยมซื้อทองสะสมไว้เป็นทรัพย์สินสำหรับสร้างเนื้อสร้างตัวหรือสร้างฐานะในอนาคต ทำให้มีร้านทองเกิดขึ้นมากมายหลายร้านในย่านเยาวราชและพัฒนาเติบโตขึ้นจนกลายเป็นร้านทองแถวหน้าที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งจำหน่ายทองคำคุณภาพสูงสุดของประเทศ โดยในช่วงวันตรุษจีนจะมีผู้คนมาซื้อทองกันมากตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึก ร้านทองบางร้านจะนำงิ้วมาร้องหรือวงดนตรีจีนมาร้องบรรเลง เพื่อสร้างความคึกคักและดึงดูดใจลูกค้าค่ะ “โรงพยาบาลเพื่อคนยากไร้” เป็นสถานพยาบาลที่ช่วยเหลือดูแลหรือให้การรักษาพยาบาลแก่เพื่อนร่วมชาติผู้ยากไร้แบบไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งพ่อค้าชาวจีนผู้มั่งคั่งจากทุกกลุ่มภาษาร่วมกันก่อตั้งโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ (เทียนฮั้วอุยอี่) ขึ้นในย่านเยาวราช โดยโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิให้การรักษาพยาบาลตามแบบจีนที่ชาวจีนคุ้นเคย คือการต้มยาจีนตามใบสั่งยาให้ผู้ป่วยนำกลับไปกินที่บ้าน อีกทั้งยังจัดให้มีแพทย์จีนจากทุกกลุ่มภาษาเพื่อสื่อสารกับคนไข้ทุกกลุ่มได้อย่างสะดวก ปัจจุบันโรงพยาบาลแห่งนี้ยังคงดำเนินงานตามอุดมการณ์ดั้งเดิมค่ะ หลังจากชมห้องที่ 3 ทั้ง 2 โซนที่แบ่งเป็นโซนสำนักงานบริษัทค้าข้าวและโซนโมเดลจำลองของถนนเยาวราชจนละเอียดครบถ้วนแล้วก็เดินทะลุซุ้มโค้งไปยัง “ห้องที่ 4 ตำนานชีวิต Hall of Fame” กันต่อค่ะ “ห้องที่ 4 ตำนานชีวิต Hall of Fame” เป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานชีวิตของกลุ่มบุคคลสำคัญในย่านเยาวราชที่เป็นทั้งแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้อนุชนรุ่นหลังอย่างเรา ๆ ได้ศึกษาและนำมาปฏิบัติตามค่ะ ซึ่งบุคคลสำคัญในย่านเยาวราชได้แก่ พระศรีทรงยศ (เจ้าสัวเนียม), พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน), อึ้งเหมี่ยวเหงียน (เจ้าสัวล่ำซำ), พระอนุวัฒน์ราชนิยม (แต้ตี่ย้ง หรือ ยี่กอฮง), เซียวฮุดเส็ง, หลวงสิทธิสุโรปกรณ์ (ไหล่คือไต่ หรือ หลงจู้บั๊ก), เหียกวงเอี่ยม, ป๋วย อึ๊งภากรณ์, หลวงภักดีภัทรากร (กอฮุยเจี๊ยะ), ตันจินเก่ง (จิตติน ตันธุวนิตย์), ตันซิวเม้ง, ชิน โสภณพนิช (ตั้งเพี้ยกชิ้ง), อุเทน เตชะไพบูลย์ (แต้โหงวเล้า) และเทียม โชควัฒนา (ลี้เฮงเทียม) เดินอ่านตำนานชีวิตของบุคคลสำคัญย่านเยาวราชแบบบคร่าว ๆ บนแผ่นป้ายความรู้และยืนชมวีดิทัศน์แล้วก็เดินต่อไปยัง “ห้องที่ 5 พระบารมีปกเกล้าฯ” ค่ะ “ห้องที่ 5 พระบารมีปกเกล้าฯ” เป็นห้องจัดแสดงเรื่องราวผ่านวีดิทัศน์และภาพถ่ายในเหตุการณ์ต่าง ๆ สุดประทับใจ ซึ่งแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๙ ต่อชุมชนเยาวราช รวมไปถึงพระราชกรณียกิจที่เชื่อมประสานความสัมพันธ์ไทย-จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นค่ะ เดินชมภาพถ่ายในห้องที่ 5 แล้วก็เดินไปชม “ห้องที่ 6 ไชน่าทาวน์วันนี้” ต่อ แต่ระหว่างทางจะผ่านมุมถ่ายรูปที่มีโคมไฟกลมแบบจีนแขวนอยู่บนขื่อเพดานให้ได้โพสท่าถ่ายรูปกันค่ะ “ห้องที่ 6 ไชน่าทาวน์วันนี้” เป็นห้องจัดแสดงภาพลักษณ์อันโดดเด่นของเยาวราชตามแง่มุมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น แหล่งรวมวัฒนธรรมประเพณีจีน, ถนนสายทองคำ, ย่านตลาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และแหล่งรวมอาหารอร่อยเลิศรส ด้วยความที่เยาวราชเป็นเสมือนเมืองเล็ก ๆ ของชาวไทยเชื้อสายจีนที่ซ้อนอยู่ในเมืองหลวงของไทย ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไชน่าทาวน์” ของกรุงเทพฯ และนับเป็นไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งภายในห้องนี้จัดแสดงผ่านแผ่นป้ายความรู้ที่มีตัวอย่างสิ่งของอย่างเช่น ทองรูปพรรณ, เศษเหล็ก, ยาจีนโบราณ และสื่อผสมแบบดิจิทัลค่ะ หลังจากชมครบจนทั่วแล้วก็แวะมาเลือกซื้อของที่ห้องจำหน่ายของที่ระลึกก่อนออกไปกินอาหารมื้อเที่ยง ซึ่งของที่ระลึกที่นำมาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวนั้นมีให้เลือกซื้อมากมายค่ะ เช่น ที่ใส่ไม้จิ้มฟัน, สร้อยข้อมือ, สร้อยคอ พวงกุญแจ, แม่เหล็กติดตู้เย็น, สร้อยพระ, กระเป๋าสตางค์หนังแท้, เครื่องรางนำโชค เป็นต้น สำหรับใครที่แวะมากราบไหว้ขอพรที่วัดไตรมิตรฯ หรือเดินทางผ่านแถวหัวลำโพง อย่าลืมเดินขึ้นมาเที่ยวชมวิถีชีวิตจำลองของชุมชนชาวจีนในย่านเยาวราชกันแบบเพลิน ๆ ที่ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช” ได้ทุกเมื่อนะคะ ^^ ปักหมุดได้ที่: วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เลขที่ 661 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ 10100 GPS: https://maps.app.goo.gl/ZYecCfZFrUwEK9QB9Email: phramondop@gmail.comโทร: 094-466-9515Facebook Fanpage: Chinatown Museum Bangkokเสียค่าเข้าชม: คนไทยเข้าชมฟรี ชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 140 บาท (บัตรรวม 140 บาท: ชมนิทรรศการและศูนย์ประวัติศาสตร์ราคา 100 บาท และกราบพระทองคำ 40 บาท)เปิด: ทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. (หยุดทุกวันจันทร์)เดินทางโดยรถยนต์: ขับรถข้ามคลองผดุงกรุงเกษมและเลี้ยวเข้าถนนมิตรภาพไทย-จีน ขับตรงมาเรื่อย ๆ วัดจะอยู่ฝั่งขวามือ ที่จอดรถค่อนข้างน้อย แนะนำว่าให้เดินทางโดยรถฟ้าใต้ดิน MRT จะสะดวกสุดเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ: สาย 35, 507เดินทางโดยรถไฟใต้ดิน (MRT): สายสีน้ำเงิน ลงที่สถานีหัวลำโพง ออกทางออกหมายเลข 1 ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมตรงมายังถนนมิตรภาพไทย-จีน และเดินเรื่อย ๆ มาประมาณ 200 เมตรก็จะถึงวัดไตรมิตรฯ (วัดจะอยู่ฝั่งขวามือ) ออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !