ภูกระดึงมีหัวใจเป็นเท้า เสน่ห์ของภูกระดึงที่ทำให้ผมลืมไม่ลง คือ การใช้เท้าเดิน เดิน แล้วก็เดิน เพื่อให้ถึงซึ่งความสวยงามที่ธรรมชาติจงใจสร้างไว้ เริ่มต้นด่านแรกทุกคนจะต้องเดินพาตัวเองสู้กับแรงโน้มถ่วงโลกผ่านด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยาน ที่นี่มีนาฬิกาให้เราลงชื่อบันทึกเวลา ภาพของเพื่อนร่วมทางแปลกหน้าเหงื่อท่วมตัว แม้สีหน้าจะแสดงความเหนื่อยอ่อนออกมามากมายแค่ไหน แต่รอยยิ้มจากแววตาพร้อมคำพูด ใกล้แล้วนะ อีกนิดเดียวเอง สู้ ๆ สิ่งเหล่านี้ติดตา จับใจผมทุกครั้งที่ตัดสินใจเดินขึ้นภูแห่งนี้ เชื่อไหมตลอดเส้นทางเดินที่สูงชันระยะทาง 5.5 กม. มิตรภาพเหล่านี้หาง่ายยิ่งกว่าหาสาขาร้านสะดวกซื้อใน เมืองเสียอีกข้อดีของการเดินทางคนเดียว คือ ถ้าใจของเราเปิดกว้าง ประตูมิตรภาพพร้อม เชื่อเถอะว่าใครที่กลัวเหงาไม่กล้าไปไหนเดี่ยวๆ แลกกับความเหงาแค่นิดหน่อย แต่สิ่งที่ได้รับจากการเดินทาง ถ้าไม่ใช่ใครที่อยู่ตรงนั้น คงสัมผัสไม่ได้ภูกระดึงเช้าที่ผานกแอ่นแสงแรกค่อยๆ จับที่ขอบฟ้าไกลๆ ผมเอากล้องติดขาตั้ง มองวิวไฟเดอร์เช็คมุมที่อยากได้ ครั้งนี้อากาศไม่หนาวเลย แค่เสื้อยืดตัวเดียวสวมทับด้วยเจ็กเก็ตอีกชั้น โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์กันหนาวอย่างอื่นก็อยู่ได้สบายๆตอนเดินเท้ามาถึงที่นี่ ผมคุยกับพี่เจ้าหน้าที่อุทยาน แกบอกว่าเมื่อวานมีทะเลหมอกที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ฝนที่ตกหนักเมื่อคืน ถ้าเลือกได้หลายคนคงไม่ต้องการ แต่เมื่อปฎิเสธไม่ได้ สายหมอกนุ่มหนาที่อยู่ตรงหน้าของคนที่อยู่ผานกแอ่นเมื่อวาน คือสิ่งปลอบใจคุ้มค่าทีสุดเช้านี้แม้หมอกจะไม่เป็นใจ แต่สีสันท้องฟ้ายังพอเป็นรางวัลให้กับความเมื่อยล้าได้เช้าวันที่สอง ณ ผานกแอ่นที่เดิมผมฝืนสู้กับความล้า ตื่นตีสี่ครึ่งเป็นวันที่สอง ด้วยความหวังที่จะเจออะไรที่สวยกว่าเช้าแรกแสงแรกเริ่มจับขอบฟ้าเหมือนเช้าวันก่อน พื้นที่สุดลูกหูลูกตาจากหน้าผาออกไป เริ่มมีหมอกชั้นบางๆ ลอยนิ่ง อ้อยอิ่ง ยอดเขาสลับซับซ้อนโผล่พ้นทะเลหมอกขาว ฉากหลังแต้มด้วยสี แดง ม่วง ชมพู่ มันคือสวรรค์ที่ผมจับต้องได้ โดยที่ไม่ต้องนอนหลับแล้วฝันเอาต้นตอของแสงสว่างเริ่มโผล่ดวงโตสีแดงเพลิง ลอดทะเลหมอกลิบๆ ท่ามกลางขุนเขา เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมทางร่วมร้อยเงียบลงชั่วขณะเสียงชัตเตอร์จากกล้องส่งเสียงทักทายความสวยงามตรงหน้า ในยุคเทคโนโลยีเฟื่องฟูตอนนี้มีข้อดีอย่างหนึ่งตรงที เรามีเครื่องมือช่วยเก็บความทรงจำให้เป็นรูปธรรมได้ เสียดายที่เคลือบความรู้สึกของเวลา ณ ตอนนั้นเอาไว้ไม่ได้นาฬิกาความรุ้สึกของผมที่ผานกแอ่นเดินช้า บางครั้งเลื่อนเข็มพรวดพรวดกลับไปยังความทรงจำครั้งก่อนๆ บางทีกลับมาแช่เนิ่นนานอยู่กับเวลาปัจจุบัน ให้ผมได้ดื่มด่ำกับรางวัลตรงหน้าขากลับผมแบกขาตั้งทอดน่องไปตามทางเรื่อยๆ ทักทายผู้คนรอบข้าง แลกเปลี่ยนเรื่องราวบนภูด้วยกัน ระหว่างที่ผมกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บภาพหยดน้ำและแสงอาทิตย์ พ่อลูกคู่หนึ่ง หยุดถามผมว่าใยแมงมุมที่มีรูปร่างคล้ายปีระมิดบนยอดห ญ้าเป็นพันธุ์อะไร ผมยืนงงๆ แล้วตอบให้ได้แค่ว่า ผมไม่ทราบ หลังจากนั้นเราพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง รู้ทีหลังว่าพี่วิทย์มาเที่ยวภูกับครอบครัว พ่อ แม่ และลูกอีกสาม แกเพิ่งมาครั้งแรกกับลูกๆ แต่แฟนมาแล้วเป็นครั้งที่สอง ลูกคนโตคือเด็กวัยรุ่นธรรมดายุคนี้ที่ผมพบเห็นทั่วไป ทนกับความลำบากไม่ค่อยได้ แต่เริ่มรู้สึกชิน เพราะไม่มีทางเลือกอื่นให้ชีวิตบนนี้ คนที่สองชอบถ่ายรูป คนเล็กสุดแค่สิบขวบมาภูกระดึงเพราะอยากกลับไปอวดเพื่อนแฟนพี่วิทย์บอกผมว่า ที่จริงทั้งสองคนไมได้อยากมาแต่เพราะลูกที่อยากมาเที่ยวกับพ่อแม่ พี่วิทย์เดินขึ้นไม่ค่อยไหว แต่เพราะกำลังใจจากครอบครัวจึงมีแรงฮึดสู้ได้จนถึงจุ ดหมาย พร้อมกับทิ้งท้ายบนสนทนากับผมไว้ว่า ครั้งหน้าคงไม่มีแรงมาแล้ว ถ้าลูกอยากมาก็คงให้มากับเพื่อนเพื่อนต่างวัยกลุ่มแรกที่ผมรู้จัก แม้ว่าเวลาบนภูจะเหลื่อมกันอยู่นิดหน่อย พี่เขากลับตอนวันที่สามของผม แต่เราใช้เวลาพูดคุยและรู้จักกันพอประมาณ จนผมเรียกครอบครัวนี้ว่าคนรู้จักได้เต็มปากเต็มคำ ครั้งนี้ผมได้รับรู้เรื่องราวของการเดินทางบนภูกระดึงที่นอกเหนือไปจากชีวิตหนุ่มสาว เส้นทางน้ำตกผมคงไม่ใส่ใจอธิบายหากมีใครมาตั้งคำถามว่า ทำไมต้องไปภูกระดึงซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าทำได้ ผมโคตรอยากจะจูงมือคนพวกนี้เก็บกระเป๋าไปเดินภู เพราะที่นั่นคือการให้คำตอบที่ดีที่สุดภาพเมเปิ้ลแดงทิ้งใบเรียงรายอยู่บนหินน้ำตกเขียวทำให้ครั้งนี้ผมจึงเลือกช่วงปลายพฤศจิกายนและต้นธันวาคม ผมเริ่มแน่ใจว่าปีนี้ได้ดั่งใจแน่นอน เพราะเห็นบางคนถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลแดงๆ ก่อนวันที่ผมไปแค่ห้าวันจนตอนที่ผมยืนอยู่ที่น้ำตกวังกวาง ผมบอกตัวเองเบาๆ ว่าพลาด น้ำตกยังสวยงามเหมือนเดิม หินก็เขียวสมใจ แต่เมเปิ้ลยังเขียวเต็มต้น มีแค่ใบสองใบเท่านั้นที่ผมพอหามุมเก็บภาพหวังได้หากดูแค่ระยะทาง 3 กม. คงไม่ใกล้สำหรับการเดินเท้าของคนธรรมดา หากแต่ใครที่ชอบธรรมชาติอย่างผม เชื่อไหมครับวันทั้งวันในนี้ บนเส้นทางเดินเล็กๆ ที่มีน้ำตกสวยงามตั้งแถวส่งมอบความสุขตลอดทาง ไหนจะมีเพื่อนร่วมทางที่ผมไม่รู้จักหรอก คอยพูดคุย ยิ้มให้กัน แลกเปลี่ยนดูภาพที่ถ่ายด้วยกัน จนรู้สีกไปเองว่าหญ้าทุกต้น ใบไม้ทุกใบ หินทุกก้อน สายน้ำเย็นที่ไหลริน หรือโลกทั้งโลกตอนนั้น มันคือความสุขที่ผมบรรยายได้ไม่หมดในนี้ผมติดกล้องกับขาตั้งแล้วแบกขึ้นบ่าเดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งฝีเท้า ปล่อยใจให้ไหลไปกับสายลม ยามที่เท้าที่อ่อนล้า ชุ่มแช่อยู่ในน้ำเย็นที่ค่อยๆ ละลายความเหนื่อยออกไปจากความรู้สึก มีแต่ความมีชีวิตชีวาที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วปลายประสาทสั มผัสครั้งนี้ผมตัดสินใจใช้เวลากับน้ำตกเต็มที่ ค่อยๆ ถ่าย คนหลายๆ กลุ่มเดินผ่านไปผ่านมา ในขณะที่ผมเพ่งสมาธิอยู่กับภาพตรงหน้า แล้วค่อยๆ เก็บทุกอย่างที่เห็นไว้ในเฟรม อยากเอาความสวยงามตรงหน้าบันทึกไว้ในการ์ด แต่แค่เครื่องกลที่ไร้หัวใจไม่มีทางจะเก็บทุกอย่างได้ เหมือนความทรงจำจากเลือดเนื้อของความรู้สึก ต่างกันแค่ภาพแบ่งปันให้คนอื่นได้แต่ไร้ความรู้สึก ในขณะที่ความทรงจำในรอยหยักสมองถ่ายทอดให้คนอื่นได้เหมือนกัน แต่มันไม่เห็นภาพส่วนตัวผมชอบเดินบนลานหิน ลุยน้ำตื้นๆ เข้าไปถ่ายภาพที่น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเล็กๆ ที่ซ่อนตัวเองจากนักเดินทางที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดข้า งทาง เพราะหากไม่สังเกตป้ายหรือลงทุนใช้เวลามองหาหน่อย ยากที่จะเจอเจ้าน้ำตกน่ารักๆ ที่นี้ ถ้าเมเปิ้ลแดงตามฤดูกาล ผมคงได้ภาพน้ำตกถ้ำใหญ่สวยงามที่สุด ด้วยการจัดวางของธรรมชาติที่บรรจงยกผาน้ำตกไว้บนที่ชัน ไล่ระดับด้วยหินสีเขียวด้วยมอส ตะใคร่น้ำ แล้วแซมต้นเมเปิ้ลยืนต้นอยู่หลายๆ จุด รอบๆ น้ำตก ลองนึกภาพดูว่า เมเปิ้ลเป็นร้อยๆ ใบที่ร่วงหล่น ประดับตามพื้นหินเขียว ลอยเอื่อยๆ ไปตามสายน้ำ มีติดค้างอยู่บ้างบางจุด มันคือความสวยงามที่สวรรค์สร้างชัดๆ ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาปรับระดับขาตั้ง มองช่องมองภาพ เก็บรายละเอียดตรงหน้า ข้างๆ เหลือไปเห็นน้องคนหนึ่งกำลังเล็งภาพเหมือนกัน เหมือนพยายามจะบังคับตัวเองให้นิ่งตามความเร็วชัตเตอ ร์ที่ได้ แต่ท่าทางไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ เลยใช้วิธีอย่างที่ผมใช้บ่อยๆ คือวางกล้องบนกระเป๋าแล้วถ่ายจับเวลา เรายิ้มทักทายกัน"เอาขาตั้งไหม" ผมถาม"ไม่ครับพี่ ผมอยากดึงสิ่งที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด" จริงอย่างน้องเขาว่า คนเราถ้ารู้จักพอ ใช้ศักยภาพของตัวเองให้ได้มากที่สุด การแข่งขัน แก่งแย่ง คงไม่มีเราคุยกันต่อ เรื่องถ่ายภาพเล็กน้อย ก่อนที่เพื่อนๆ ในกลุ่มเรียกน้องเขาไปถ่ายรูปพรรคพวกกับเมเปิ้ลแดงจำ นวนไม่กี่ใบที่หากันได้ตอนนั้นข้อดีอีกข้อที่ทำไมผมอยากไปไหนมาไหนคนเดียว มีแต่คนที่ถ่ายรูปด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจเที่ยงกว่าๆ เกือบบ่ายโมง ผมเพิ่งถึงน้ำตกเล็กๆ ตรงปลายทาง เจอหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ผู้ชายเพ่งสมาธิอยู่กับกล้องบนขาตั้งและน้ำตกตรงหน้า ในขณะที่ห่างไปหน่อยแฟนสาวกำลังยกกล้องคอมแพคตัวเล็ก ถ่ายตัวเองกับน้ำตกอยู่มันคือภาพชินตาที่ผมพบเห็นจนชิน ผมเดาเอาเองว่า ตอนแรกผมเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ประมาณผู้ชายต้องโดน ว่า ตรงที่มัวแต่บ้าถ่ายภาพวิว ไม่สนใจถ่ายแฟนตัวเองแต่เหตุการณ์ต่อมา ผู้ชายตั้งกล้องแล้วเรียกผู้หญิงไปถ่ายภาพคู่กัน หลังจากนั้นเราทักทาย พูดคุยกันตามประสาคนร่วมทาง บางครั้งมิตรภาพก็ไม่ได้ต้องการที่มาที่ไปชมพู่มะเหมี่ยว หลุ่มสักและที่พักกายร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยวของพี่นก คือที่ขลุกตัวยามบ่ายของผม ชาเย็นหนึ่งแก้ว รีฟิลไปสองครั้ง ชาเย็นกับชาเขียวนมอย่างละครั้ง ผมนั่งคุยกับพี่นกไปเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดอ่านความทรงจำต่างๆ ที่หลายคนทิ้งร่องรอยความรู้สึกไว้บนแผ่นกระดาษ และขออนุญาตถ่ายเก็บข้อความประทับใจไว้ด้วยพี่นกบอกว่า ครั้งหนึ่งความทรงจำของคนเดินทางร้อยกว่าเล่มถูกพวกม้กง่ายที่อ้างว่าจะเอาไปเป็นข้อมูลถ่ายหนังยืม แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยผมนั่งเขียนโปสการ์ดเรื่อยๆ แค่อยากส่งความรู้สึกบางเสี้ยวให้อดีตของคนที่อยากจะ ร่วมทางครั้งนี้รู้ผมเขียนบันทึกเล็กๆ ครั้งที่สี่ ไว้ในสมุดบันทึกเล่มสี่ที่ ชมพู่มะเหมี่ยว เพื่อนร่วมภูหลายคนเริ่มมาถึง ร้านพี่นกเริ่มคึกคัก บางคนถามหาบราวนี่ที่มีจำกัดแค่วันละไม่กี่ชิ้นบางคนใช้เวลาเงียบกับปลายปากกาบนกระดาษเพื่อระบายความรู้สึกเก็บไว้เรื่องราวที่หล่มสักครั้งนี้มีมากกว่าพระอาทิตย์ตกกับแง่งหินยื่นใต้ต้นสน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการซึบซับบรรยากาศ บางรอบผมเดินกลับเงียบๆ สวนทางกับคนอื่นๆ ที่มีจุดหมายเดียวกับผม แต่ต่างเวลา ผมก้าวเท้ากลับ ในขณะที่หลายคนสาวเท้าไป"ต้นสนล้มไปแล้วหรือพี่" น้องคนหนึ่งท่าทางเกือบหมดแรง นั่งพักเอากิ่งไม้ ขีดๆ เขียนๆ บนพื้นทราย"ยังอยู่ครับ" ผมตอบกลับอย่างงงๆ หรือว่าเป็นแค่คำถามที่ไว้ปลอบใจตัวเอง หากไปไม่ถึง "ใกล้แล้วครับ อีกนิดเดียว" คือ คำทักทายที่ผมพูดซ้ำๆ และยังเป็นคำตอบนัยเดียวกัน หากมีใครสักคนถามว่า อีกไกลหล่มสัก จักรยานและภาพที่เปลี่ยนไปเวลาช่วงบ่ายผ่านไปแบบนิ่งๆ กับกาแฟ บราวนี่และเรื่องพูดคุยสัพเพเหระกับพี่นก จักรยานเริ่มเข้าที่จอดทีละคัน สองคัน ผาหล่มสักที่เงียบสงบตอนหลังเที่ยง เริ่มมีชีวิต บรรยากาศกำลังดีกับจำนวนคนวันนี้ ผมยืนมองภาพตรงหน้า จักรยานค่อยๆ เข้ามาจอด เพิ่มขึ้นๆ จนเกือบเต็มที่จอด“เสียดายนะพี่ จักรยานทำให้บรรยากาศการเดินกลับเปลี่ยน”พี่นกพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ คงคิดเหมือนผม เราตั้งข้อสังเกตว่า จักรยานทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ผ่อนแรงและไม่เสียเวลา แต่ความคลาสสิคเดิมๆ กำลังจะหายไปบ้างก่อนมีจักรยาน หลังพระอาทิตย์ตก ทุกคนต้องรีบเดินกลับ ไฟฉายคืออุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด ใครไม่มีก็ต้องเดินอิงกับกลุ่มอื่น คนไหนมาคนเดียวต้องพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ภาพของการถ้อยทีถ้อยอาศัยโดยไม่มีคำว่า แปลกหน้า เป็นอุปสรรค ดูสวยงามและมีเสน่ห์ มาภูกระดึงทุกครั้ง ผมต้องได้เพื่อนใหม่กลับไปเสมอ พระอาทิตย์ตกแล้ว นักท่องเที่ยวหลายคนแยกย้าย เหตุการณ์เหมือนวีดีโอกำลังเล่นถอยหลัง คนเริ่มหายไปกับจักรยาน คันแล้วคันเล่า จนที่จอดโล่งว่างเหมือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่สว่างกับมืดเท่านั้นที่ต่างกันกลุ่มคนเดินกลับก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับครั้งก่อนๆ ที่ผมมาจักรยานทำให้ชีวิตบนภูกระดึงง่ายขึ้น ในขณะที่มิตรภาพของคนเดินทางแปลกหน้าหล่นหายบ้าง การเดินเท้าอาจจะยากขึ้นเพราะมีข้อจำกัด แต่สำหรับผมชอบการซึมซับช้าๆ มากกว่าการไปซ้ำๆ ของผม ทำให้เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดเดินทาง ทั้งความงดงามตามฤดูของธรรมชาติบวกกับมิตรภาพระหว่างทาง ทำให้คนหลายคนตกหลุมรักภูรูปหัวใจนี้ได้ไม่ยาก21 ที่เที่ยวเลย ห้ามพลาด เมืองทะเลภูเขา สุดหนาวในไทย เที่ยวเลย ไม่ต้องรอ!!!การเดินทาง ทางรถนั่งรถกรุงเทพ-เลย หรือ กรุงเทพ-เขียงคาน จุดจอดผานกเค้า แวะพักร้านเจ๊กิม มีห้องน้ำ อาหารบริการ แล้วต่อรถสองแถวไปยังที่ทำการอุทยานข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook กลุ่มรักภูกระดึง https://www.facebook.com/groups/LovePhukradungเรื่องและภาพโดยผู้เขียนติดตามผลงานเพิ่มเติม FB : https://www.facebook.com/traveltrap.team แผนที่การเดินทางเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !