เราอาจจะคุ้นหูกับภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญเรื่อง H Project หรือ Hashima Project ที่เข้าฉายเมื่อปี 2013 และเป็นหนังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่เนื่องจากพวกเรามีแพลนจะไปเที่ยวเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่นกันพอดี เราเลยอยากลองสัมผัสความลึกลับของเกาะนี้ดู เกาะสยองขวัญแห่งนี้เลยได้กลายมาเป็นไฮไลท์ของทริปเที่ยวคิวชูของพวกเรา เกาะฮาชิมะจริง ๆ แล้วมีอีกชื่อเรียกว่ากุนกันจิมะ (Gunkanjima) ซึ่งมีความหมายว่าเกาะเรือรบ เนื่องมาจากรูปทรงของเกาะที่มีความคล้ายกับเรือรบนั้นเอง เกาะนี้ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือนะงะซะกิไปประมาณ 15 กิโลเมตร เราได้ทำการจองรอบเวลาทัวร์เกาะไว้แล้วผ่านเว็บไซต์ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทยค่ะ พอเช้าวันที่จะไปเที่ยวฝนดันตกซะงั้น เราเลยตัดสินใจเรียกลุงแท็กซี่จากที่โรงแรมให้ขับพาพวกเราไปที่ท่าเรือนะงะซะกิเพื่อความสะดวกสบาย ในใจก็แอบกลัวฝนตกแล้วทัวร์จะถูกแคนเซิล ทุกคนรู้สึกลุ้นระทึกเหลือเกินว่าจะได้ข้ามเกาะไปเที่ยวหรือไม่ พอไปถึงก็โล่งใจที่เห็นคิวต่อแถวยาว ๆ ซึ่งมีแต่คนญี่ปุ่นทั้งนั้นเลย เราไปยืนรอเข้าคิวไม่นานนักก็ได้สปีกเจแปนนีสงู ๆ ปลา ๆ เท่าที่พอเข้าใจกับน้องพนักงาน พร้อมหยิบกระดาษที่ปรินต์การจองในเว็บไว้แล้วให้น้องเค้าดู แล้วก็ชำระเงินค่ะ เราไปยืนต่อคิวที่ท่าเรือไม่นานก็ได้ขึ้นเรือเพื่อไปเที่ยวเกาะฮาชิมะ พวกเราเข้าไปนั่งข้างในเรือ ฝนยังคงตกตลอดทางที่เรือแล่นไปเกาะ พนักงานเรือเลยเดินถือเสื้อกันฝนทั่วเรือ เราก็นึกว่าแจก ปรากฏว่าเค้าขายค่ะ ฝนตกหนักอยู่เหมือนกันเลยต้องซื้อมาใส่ ไม่งั้นเดี๋ยวจะเปียกเกินไปจนเดินชมเกาะไฮไลท์ของเราไม่สนุก ซึ่งตอนอยู่บนเรือจะมีพนักงานยืนพูดแนะนำตัวเกาะให้ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่นตลอดค่ะ บรรยากาศในเรือเสียงดังครึกครื้นดีมากค่ะ ทุกคนดูตื่นเต้นที่จะได้ไปชมเกาะสยองขวัญ นั่งชมวิวไม่นานนัก เรือก็ได้แล่นมาจอดที่เกาะฮาชิมะเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับแดดเปรี้ยงและฟ้าอันสดใสที่ออกมาต้อนรับพวกเรา เสียค่าเสื้อกันฝนไปฟรี ๆ ซะงั้น แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราก็ยังใส่เสื้อกันฝนลงไปเพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ก้าวแรกที่เท้าเราได้แตะลงไปบนเกาะแห่งนี้ รู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลว่าจะเดินลำบากไหม บวกกับว่าเราก็กลัวผีด้วยนิดนึงค่ะ ปรากฏว่า เห้ย! ทางมันเรียบมาก ดูใหม่และสะอาดด้วย เลยผิดจากที่เรานึกภาพไว้แต่แรกก่อนจะข้ามมา ทางเดินจะเป็นทางบังคับเลยค่ะ มีอยู่เส้นทางเดียว และก็จะมีรั้วกั้นทั้งสองข้างไม่ให้ใครออกไปเดินนอกเส้นทาง เวลาเดินเค้าจะมีไกด์คนนึงคอยนำทาง แล้วก็จะหยุดตามจุดต่าง ๆ เพื่ออธิบายรายละเอียดว่าตึกร้างหรือสิ่งก่อสร้างนั้น ๆ คือตึกอะไรและมีที่มายังไง ทัวร์ไกด์จะพูดทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น คือมีแต่พวกเราที่เป็นต่างชาติก็งงกันไปค่ะ แต่ทันใดนั้นก็มีพนักงานใจดีเห็นเรายืนเอ๋อกันสามคน เลยส่งกระดาษเคลือบเล่มนึงที่เป็นข้อมูลภาษาอังกฤษมาให้พวกเราอ่านตาม แล้วเราก็เดินตามกลุ่มไปเป็นคนท้าย ๆ พร้อมกับถ่ายรูปรัว ๆ ด้วยความตื่นเต้นมากที่ได้มาเกาะอันโด่งดังแห่งนี้ซะที อันที่จริงแล้วเกาะฮาชิมะหรือกุนกันจิมะแห่งนี้ไม่ใช่เกาะผีสิงหรือเกาะสยองขวัญอย่างที่พวกเราวาดภาพไว้หรอกค่ะ เกาะนี้มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1810 จากการที่ค้นพบถ่านหินตรงบริเวณนั้น หลังจากนั้นในปี 1890 บริษัท Mitsubishi ได้ซื้อเกาะมาเป็นของตัวเอง และทำการขยายเกาะเพื่อเป็นเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ รองรับกับความต้องการของถ่านหินในยุคนั้น แล้วก็ได้ส่งแรงงานและครอบครัวให้ไปอยู่บนเกาะแห่งนี้ ซึ่งในปี 1959 มีประชากรพีคสุดถึง 5 พันกว่าคน บริษัทยังได้สร้างตึกคอนกรีตเพื่อเป็นที่พักอาศัยให้กับแรงงาน และมีตึกอื่น ๆ อีกเช่น โรงเรียน โรงพยาบาล หอประชุม โรงหนัง สระว่ายน้ำ โรงอาบน้ำสาธารณะ ปาจิงโกะ และอีกมากมาย เพื่อให้แรงงานและครอบครัวใช้ชีวิตบนเกาะได้อย่างสบาย การที่เค้าใช้คอนกรีตมาสร้างตึกต่าง ๆ ก็เพราะว่ามันทนต่อพายุไต้ฝุ่นนั่นเองค่ะ พอยุคถ่านหินร่วงโรย แรงงานและครอบครัวทุกคนก็ได้อพยพขึ้นฝั่งกลับไปที่นะงะซะกิ Mitsubishi จึงได้ทำการปิดเกาะลงอย่างเป็นทางการในปี 1974 เอาเข้าจริงเราแอบคิดว่ามันดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่ว่าตึกไหนเป็นตึกอะไร เพราะว่าทุกอย่างได้กลายเป็นเศษซากหมดแล้ว ด้วยโทนสีที่ดูหมองเศร้าบวกกับซากทั้งหลายทำให้รู้สึกเหงา ๆ มากกว่ากลัวผีแล้วค่ะ ณ จุดนี้ โทนสีนี้ทำให้เราอินมากจนต้องกดชัตเตอร์เก็บภาพรัว ๆ ซึ่งพอถ่ายออกมาแล้วภาพก็ดันออกมาสวยมาก เกาะถูกทิ้งให้ร้างและทรุดโทรมลงเมื่อเวลาผ่านเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ถามว่ามีผีสิงบนเกาะนี้ไหม จริง ๆ แล้วก็มีแรงงานนับพันคนได้เสียชีวิตลงที่เกาะจากการทำงานในเหมือง แต่เราดันโชคดีที่ไม่ได้มีจิตสัมผัสแต่อย่างใดก็เลยไม่ได้เจอสักตัวสักตนอะนะ พอได้รับรู้ข้อมูลของเกาะ เราและเพื่อนทุกคนลงความเห็นเดียวกันว่าไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิดกับบรรยากาศและเศษซากทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า เรากลับรู้สึกว่าได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นถึงการดำรงชีวิตและการปรับตัวของมนุษย์ในทุก ๆ ยุคสมัยมากกว่าค่ะ (ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน)