สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ นักอ่านทุกคน ปีใหม่นี้ใครยังไม่มีแพลนไปไหนขอให้ยกมือขึ้น... เพราะวันนี้เรามีอีกหนึ่งจังหวัดน่าเที่ยว และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมาฝากกัน ซึ่งจังหวัดนี้เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดที่คงความเป็นไทย เก็บบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาติ ผ่านซากปะรักหักพัง หลาย ๆ คนคงมีคำตอบอยู่ในใจใช่ไหมหล่ะคะ ว่าที่นี้คือที่ไหน ใช่ค่ะที่นี้คือ.. อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน โดยทริปนี้เป็นทริปที่ค่อนข้างชุลมุ่น แต่เป็นทริปที่มีความสุขมากอีกทริปหนึ่งของเรา เพราะเราได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แก๊งที่สนิทกันในมหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นของทริป คือ เรามีเพื่อนคนนึงในกลุ่มชื่อพี่น้ำหวาน เป็นผู้หญิงที่คลั่งไคล้ในความเก่าแก่ของแต่ละยุคสมัย เรื่องราวโบราณ พี่น้ำหวานคงเบื่อกับการอ่านจากหนังสือ เลยอยากไปสถานที่จริง เราและเพื่อน ๆ เห็นว่า พวกเราไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกัน เลยตกลงเข้าร่วมทริปอยุธยาในครั้งนี้ ก่อนจะไปเที่ยวทุกครั้งต้องมีการวางแผน... ก่อนจะไปอยุธยา เราเเละเพื่อนใช้เวลาวางแผนการเดินทาง และการไปเที่ยวแต่ละที่แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่แผนที่ได้คือ ไม่มีแผน ทริปนี้จึงเป็นการเดินทางที่ตามเสียงของหัวใจและกลิ่นไอของอาหารล้วน ๆ ซึ่งเรานัดกันหลังมหาวิทยาลัย (มรภ.จันทรเกษม) เพื่อมาขึ้นรถแท็กซี่ไปลงที่สถานีรถไฟบางเขน เริ่มเดินทาง 6.30 น. ไปถึงสถานีรถไฟประมาณ 7.00 น. สถานีรถไฟบางเขน ตั๋วรถไฟแบบยาวต่อกัน 6 ใบ พวกเรามาถึงสถานีรถไฟบางเขนประมาณ 7.30 น. และได้ตั๋วเดินทางไปอยุธยาเวลาเดินทางประมาณ 9.30 น. แต่รถไฟไม่ได้มาเวลานั้นเป๊ะ ๆ นะ เลทประมาณ ครึ่งชั่วโมงเพราะว่ามีการซ่อมรถไฟระหว่างสถานี ถึงอยุธยาก็ประมาณ 11.00 น. ราคาตั๋วถูกมากแค่คนละ 20 บาท เท่านั้นนะ แต่ในความถูกก็ยังมีข้อเสียที่ว่า ต้องแย่งที่นั่ง ศึกครั้งนี้ใครเร็วก็ได้นั่ง... ตอนที่เราไปคนนั่งเต็มต้องยืนจนเกือบถึง ดีนะที่ไม่นานเท่าไหร่ สถานีอยุธยา นั่งรถไฟมาแปเดียว ก็มาถึงแล้ว ที่สถานีอยุธยา ใช้เวลาเดินทางคร่าว ๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมง บรรยากาศในรถไฟเราไม่มีโอกาสถ่ายไว้เลย เพราะคนค่อนข้างแน่น เรายืนมากับเพื่อนเกือบตลอดทาง เพื่อนเราคนนึงยืนดมยาดมมาตลอดทางเพราะเพื่อนเมารถ นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กเราก็เมารถเหมือนกัน แต่แปลกนะพอโตขึ้นก็หาย พอรถไฟหยุดปุ๊ป เราก็รีบลงมายืนงง อยู่สักพัก เห็นป้ายอยุธยา เลยถือโอกาสเซลฟี่เอารูปไปเช็คอินสักหน่อย พอเราเซลฟี่และเช็คอินเร็วร้อยแล้ว ก็สะพายกระเป๋า เดินจูงมือกันไปที่ทางออก ตอนแรกคิดว่าจะไปไม่ถูกซะแล้ว แต่โชคดีที่ตรงทางออก มีคนที่คอยบริการรถรับส่งคอยบอก และคอยให้คำแนะนำพวกเรา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยัดเยียดให้ใช้บริการเขาเลยนะ แต่จะเหมือนมาแนะนำ และให้เราตัดสินใจเอง แวะถ่ายรูปไปเช็คอิน อากาสสดชื่นรถไม่เยอะ มองไปสองข้างทางถนนค่อนข้างโล่งสบายตา รถไม่เยอะเท่าในกรุงเทพ อากาศในช่วงสาย ๆ ค่อนข้างร้อนแต่ก็ยังมีลมเย็น ๆ พัดมาบ้างเป็นครั้งคราว จังหวัดนี้เราว่ามีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างเยอะเลยนะ เคยมีคนบอกเราว่าถ้าเราล้าสายตา ให้หันไปมองสีเขียวจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ซึ่งเราลองทำแล้วก็จริงนะ เพื่อน ๆ ลองทำดูสิคะ... สุดท้ายเราก็ตัดสินใจนั่งรถสองแถว หลังจากที่ยืนลังแลกันอยู่นาน เราก็ตัดสินใจนั่งรถสองแถวแบบเหมาคัน ซึ่งเราและเพื่อนไปกันหกคน คุณน้าเจ้าของรถคิดราคา 120 บาท จุดมุ่งหมายที่พวกเราจะไปที่แรกคือ วัดมหาธาตุอยุธยา ตอนนั้นที่เราไป เราใส่ชุดนักศึกษาเข้าไปค่าใช้จ่ายจึงฟรี แต่สำหรับชาวต่างชาติและคนทั่วไปต้องจ่ายค่าเข้าชมนะ เราลงรถที่หน้าวัด ซึ่งเอาจริง ๆ คือ วัดโบราณแต่ละวัดไม่ไกลกันมาก สามารถเดินถึงกันได้โดยไม่ต้องนั่งรถรอบ ๆ มีร้านอาหารที่ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ประวัติศาสตร์ไทยเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ... บางคนถ้าไม่ค่อยอินกับเรื่องประวัติศาสตร์ จะมองสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นแค่ซากปะรักหักพัง แต่สำหรับเรา เรามองสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ ที่บรรพบุรุษเราได้สร้างไว้และ ณ สถานที่เหล่านั้นเป็นสถานที่ที่รวมความเป็นมาและประวัติศาสตร์ที่ควรคู่แก่ความทรงจำของคนไทย จริง ๆ คือเราไปเที่ยววัดประมาณ 2-3 ทีในอยุธยาแต่ขอเลือกที่เป็นที่สุดของเรามาบอกเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังหนึ่งที่ก็คือที่นี้นั้นเองค่ะ บริเวณด้านใน สำหรับวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา วัดมหาธาตุเป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายและถูกทิ้งร้างลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 ในสมัยก่อนยังไม่มีศาสนาที่เป็นทางเลือกเยอะมากนัก ดังนั้นศาสนาพุทธก็จะเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม มักจะมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของคนไทยอันยาวนาน และนอกจากนี้พวกสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ยังได้รับอิทธิพลของขอม เข้ามาปะปน และอย่างที่เราทราบว่าเป็น วัดมหาธาตุ ดังนั้นวัดนี้จึงมีความสำคัญที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาพุธ ที่นี้จุงเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเราชาวพุทธมาอย่างยาวนาน และยังสวยงามร่มรื่นแม้ผ่านกาลเวลามายาวนาน... วัดมีบรรยากาศที่ร่มรื่นและเหมือนมีมนต์สะกดแห่งความคลัง ของวัตถุและสิ่งก่อสร้างโบราณที่มีประวัติความเป็นมาโบราณ ซึ่งเราและเพื่อน ค่อย ๆ เดินดู ซึมซาบบรรยากาศที่นาน ๆ ถึงจะได้มีโอกาสมีสัมผัสสักครั้ง ถ้าอะไรที่เราไม่รู้ไม่จำเป็นต้องพึ่งไกด์เลยค่ะ เพราะพี่น้ำหวาน หนึ่งสมาชิกที่มาด้วยกับเรา เหมือนเป็นกูเกิ้ลเพราะแกรู้ทุกอย่าง ชี้ไปถามตรงไหนก็ตอบได้ ราวกับเกิดและโตมากับที่นี้ หลังจากเดินไปเรื่อย ๆ อากาสร้อน พวกเราก็เริ่มโหยหาของหวานเย็น ๆ จึงเลือกที่จะไปร้านขนมหวานเจ้าดังที่ใครมาที่นี้แล้วไม่ควรพลาด อย่างร้านบุษบาคาเฟ่โดยโบกมือเรียกสองแถวมาเหมือนเดิม.... บุษบาคาเฟ่ 🌻 บุษบาคาเฟ่ ร้านนี้เป็นร้านคาเฟ่ที่ใครมาอยุธยา ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ความดีงามของเขาคือ เอาสายไหม ที่เป็นขนมขึ้นชื่อของอยุธยา มาปรับใช้ในเกือบทุกเมนูของร้าน สำหรับราคาของอาหารและเครื่องดื่มของที่ร้านค่อนข้างราคาสูงหน่อย แต่บรรยากาศดีน่านั่ง แต่งสไตล์มินิมอล รัานสีขาวสบายตา อาหารอร่อย เมนูที่เราแนะนำคือ ไอติมชาไทย ราคาประมาณ 100 กว่าบาท ซึ่งในหนึ่งเซ็ทของเราจะมีไอศกรีม เนื้อของไอศกรีมชาไทยมีความนุ่มละมุน ทานคู่กับสายไหมละลานในปากหวานหอม รสชาติและกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้เครื่องเคียงยังมีเฉาก๊วย ถั่วตัด เป็นต้น ซึ่งเป็นไอศกรีมที่มีเครื่องเคียงที่แตกต่างจากที่เราเคยทาน แต่โดยรวมแล้วประทับใจค่ะ 📌 ราคา : ราคาตั้งแต่ 80 บาทเป็นต้นไป 📌 พิกัด : ร้านตั้งอยู่ที่ อู่ทอง ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 📌 เวลาเปิดปิด : ร้านบุษบาคาเฟ่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น. หลังจากที่เราทานของหวานเสร็จเรียบร้อยก็ไปเดินเล่นกันนิดหน่อย จากนั้นก็กลับโดยรถไฟเหมือนเดิม ระหว่างที่รอรถไฟก็แวะถ่ายรูปกัน และซื้ออาหารริมทางมานั่งกินกันตรงที่นั่งข้างทางรถไฟ ซึ่งเรานั่งรถไฟกลับประมาณ 6 โมงครั้งถึงสถานีบางเขนเวลาประมาณ 1-2 ทุ่มโดยประมาณ โชคดีมากที่รถไฟขากลับไม่ค่อยมีคน เลยได้นั่งยาว ๆ ตลอดสาย สำหรับเราการที่ไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่สะดวกสบายเหมือนการไปเที่ยวกับครอบครัว แต่ความรู้สึกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะลำบากและมีการใช้เงินที่จำกัด แต่ตลอดดารเดินทางมีทั้งเสียงหัวเราะและเรื่องราวให้น่าจดจำ ปีใหม่นี้ใครที่ไม่ได้กลับบ้านไปเที่ยวกับครอบครัว ก็ลองนัดกับเพื่อนไปเที่ยวสถานที่ที่ไม่เคยไป หรือสถานที่ที่อยากไปดูนะ แล้วเราจะค้นพบและเรียนรู้จากการเดินทางมากมาย... ค่าใช้จ่ายตลอดทริปประมาณ 200 บาท ขอบคุณข้อมูลเกี่ยวกับวัดพระธาตุจาก https://th.wikipedia.org/wiki/ ครูอิงลิชอิสมี