หากกล่าวถึง "ภูกระดึง" หรืออุทยานแห่งชาติภูกระดึง อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย แล้วล่ะก็ เรามั่นใจมากว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการเดินทางขึ้นเขาที่สุดแสนจะทรหดแห่งหนึ่งในประเทศไทย หากใครอยากจะไปก็คงจะต้องคิดแล้วคิดอีกเป็นแน่ ก่อนที่จะตัดสินใจไปได้ และในการเดินทางไปภูกระดึงของแต่ละคน ก็คงจะได้รับความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างกันกลับมา สำหรับเรา ที่นี่ทำให้เราหลงรักการเดินทาง ภูเขา ป่าไม้ และธรรมชาติขึ้นมาอย่างจริงจังและหมดหัวใจเลย ต้องบอกก่อนเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราจะเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางไกล บวกกับหนทางที่ลำบากขนาดนี้ มันตื่นเต้นไม่เบาเลย เราศึกษาข้อมูลและอ่านรีวิวมาเยอะมาก และคิดว่าเตรียมตัวมาอย่างดีสำหรับครั้งแรกนี้ พอไปถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแล้ว ก่อนที่จะเดินขึ้นเขา เราต้องไปซื้อบัตรเข้าอุทยาน จ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และจองเต็นท์ไว้สำหรับขึ้นไปนอนบนนั้น (หากนำเต็นท์มาเองก็ต้องชำระค่าพื้นที่กางเต็นท์ด้วยนะคะ) ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เสร็จแล้วใครที่แบกสัมภาระเองไม่ไหวเหมือนเรา ก็ต้องนำกระเป๋าไปชั่งน้ำหนักและจ่ายค่าจ้างลูกหาบเพื่อหาบสัมภาระขึ้นไปให้เรานะคะ (อัตราค่าบริการ 30 บาท/สัมภาระ 1 กิโลกรัม) แล้วเราจะได้บัตรสำหรับเอาไว้แลกสัมภาระของเราคืนด้านบน ถ้าไม่อยากเสียเงินค่าจ้างเยอะ ก็แนะนำว่าให้เอาเฉพาะของที่จำเป็นไปนะคะ เมื่อดำเนินการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางพร้อมกับกระเป๋าน้อยคู่ใจ ที่ใส่ของจำเป็นระหว่างเดินขึ้นไปบนภูของเรา ส่วนมากก็จะเป็นของกิน อิอิ เราและเพื่อนได้ซื้อจากด้านล่าง และหอบขึ้นไปด้วย ทั้งข้าว น้ำ และขนม เพราะเป็นการประหยัดเงินในเบื้องต้น ลดการไปซื้อกินระหว่างทางลง เนื่องจากเมื่อเดินขึ้นไปแล้ว ระยะทางสูงขึ้น ของก็จะแพงขึ้นไปด้วย แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แพงถึงขนาดที่จะซื้อไม่ได้ เราคิดว่าเป็นธรรมดาของสถานที่ท่องเที่ยวนะ และโดยเฉพาะที่นี่ คนขายเขาต้องแบกขึ้นมาขายให้เราด้วย ดังนั้นราคาก็ถือว่าสมเหตุสมผล ถ้าเราอยากเซฟค่าใช้จ่ายก็ต้องแบกขึ้นไปเอง แต่ต้องรักษาความสะอาดด้วยนะคะ กินแล้วเก็บขยะของตัวเองให้เรียบร้อย ไม่ใช่อยากจะทิ้งตรงไหนก็ทิ้งเน้อ เดินขึ้นไปประมาณ 1 กิโลเมตร เราก็จะเจอกับย่านการค้าแห่งแรก นั่นก็คือ ซำแฮก ซำนี้จะมีของขายค่อนข้างเยอะ เนื่องจากอยู่ใกล้มากที่สุด มีทั้งของกินและของใช้เลยนะคะ แวะชิมและช็อปกันได้ ที่สำคัญต้องแวะพักเหนื่อยด้วยจ้า เพราะทางเดินขึ้นซำแฮกค่อนข้างชันมาก ๆ เรียกว่าเป็นทางวัดใจในช่วงแรก ใครถอดใจก่อนก็กลับซะตั้งแต่ตอนนี้เลย หลังจากซำแฮกไปเราก็จะเจอซำต่าง ๆ ระหว่างทางเรื่อย ๆ ได้แก่ ซำบอน ซำกกกอก ซำกอซาง ซำกกหว้า ซำกกไผ่ ซำกกโดน และซำแคร่ ตามลำดับ บางซำก็จะมีร้านขายของ บางซำก็ไม่มี แต่ละซำจะมีป้ายบอกให้เรารู้ระยะทางว่าเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว และอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง ซึ่งเป้าหมายแรกของเราที่ต้องไปให้ถึงก็คือ หลังแป เป็นบริเวณด้านบนของภูนั่นเอง เมื่อถึงหลังแปแสดงว่าสิ้นสุดทางขึ้นเขาแล้ว โดยระยะทางตั้งแต่ด้านล่างจนถึงหลังแปมีระยะทาง 5.5 กิโลเมตร ฟังดูก็ไม่ค่อยไกลใช่ไหมคะ แต่เราขอบอกเลยว่ามันคือ 5.5 กิโลเมตรที่ไกลที่สุดในชีวิตของเราเลย ตั้งแต่เคยเดินมาอะนะ เส้นทางเดินขึ้นภูกระดึงก็มีทั้งทางเดินราบ ๆ เรียบ ๆ เดินสบาย ๆ ทางหินขรุขระ หินก้อนใหญ่ ทางชันนิดหน่อย ไปจนถึงชันมากกกกก บางช่วงเรียกว่าต้องปีนเอาเลยก็ว่าได้ แนะนำให้หาไม้มาค้ำช่วยในการเดินนะคะ เป็นเครื่องช่วยผ่อนแรงได้ดีเลย เดินไปช่วงแรก ๆ ก็จะร้อน ๆ หน่อย เหงื่อไหลไคลย้อยเลย จนเราต้องถอดเสื้อกันหนาวออกมาถือเอา แต่พอขึ้นไปเรื่อย ๆ อากาศก็จะเริ่มเย็นขึ้น ๆ เป็นที่มาของคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวที่แท้ พอช่วงใกล้ ๆ จะถึงหลังแปเราต้องเอาเสื้อกันหนาวกลับมาใส่อีกเลย ระหว่างทางที่เดินขึ้นไปเราก็ได้เห็นลักษณะของป่าไม้ที่แตกต่างกันออกไปนะ เราก็ไม่มีความรู้ด้านนี้หรอกว่าป่าอะไรเป็นป่าอะไร แต่มันจะมีทั้งป่าที่แบบแห้ง ๆ ต้นไม้แห้ง ๆ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี พื้นเป็นทราย เป็นหินกรวด และก็มีป่าที่ชื้น ๆ เย็น ๆ มีก้อนหินก้อนใหญ่ มีมอสขึ้นตามหิน ต้นไม้สีเขียวชอุ่ม ดินก็มีความชุ่มชื้น เรารู้สึกว่ามันคือความตื่นเต้นและเป็นเสน่ห์ของการเดินทางครั้งนี้เลย บางทีเราเดิน ๆ ไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นภาพหนทางที่แตกต่างออกไปอยู่ตรงหน้า ให้เราเดินข้ามผ่านไป และพอเดินผ่านไปแล้วหันกลับมาก็จะเห็นอีกภาพที่สวยงามแปลกตา บางภาพที่เห็นทำให้รู้สึกว้าวมาก และมันทำให้เรามีแรงที่จะเดินต่อไปเรื่อย ๆ อะ เราจะขอเรียกมันว่าแรงดึงดูดของธรรมชาติก็แล้วกัน และแล้วเราก็มาถึงหลังแปตามความมุ่งหมายแรกที่ตั้งไว้ บอกเลยว่ายังไหวอยู่ แรงยังเหลือ ๆ อิอิ แต่ถึงหลังแปก็ไม่ได้แปลว่าถึงแล้วนะจ๊ะ ต้องเดินต่อไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร รวม ๆ แล้วการเดินขึ้นมานอนบนภูกระดึงมีระยะทางทั้งหมด 9 กิโลเมตรจ้า เดินให้ขาลากกันไปข้าง เราอยากแนะนำให้ใส่รองเท้าที่นุ่ม ๆ และเบา ๆ ไปนะคะ ขอแบบนุ่มที่สุด อย่าให้มันมากัดเท้าเราได้ และพื้นต้องยึดเกาะได้ค่อนข้างดี เพราะทางบางช่วงจะลื่นอยู่บ้าง และพยายามใส่กางเกงที่ใส่สบาย ไม่รัดและรั้งขานะคะ ที่เตือนเพราะว่าเราใส่รองเท้าผ้าใบแบบธรรมดาไป แล้วมันกัดเท้าจนแดงและพองเป็นตุ่มน้ำใส ๆ เลย ส่วนกางเกงเราก็ใส่กางเกงยีนส์ รัดขาจนปวด เวลาเดินก็ยกขา ก้าวขาลำบาก ใครจะไปก็อย่าเอาอย่างนะคะ เตือนแล้วนะ ดูทางเดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซะก่อนจ้า ถ้าไปอยู่ตรงนั้นเองมันสวยมากเลยนะ เดินไปตามถนนที่มีแนวต้นสนขนาบข้าง คิดว่าจะดีแค่ไหนอะ อยากรู้ต้องลองไปดูนะจะบอกให้ พอไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้ว เราก็ไปติดต่อเรื่องเต็นท์ที่เราจองไว้ แล้วก็ไปเช่าที่ปูรองนอน หมอน อุปกรณ์เครื่องนอนต่าง ๆ เราเช่าแค่ที่รองนอนเพราะเอาถุงนอนกับผ้าห่มไปเองจ้า เต็นท์ที่เราจองไว้ก็จะหน้าตาประมาณนี้ นอน 3 คนสบาย ๆ ต้องจำพิกัดให้ดี ๆ นะคะ เพราะบนนี้จะมีเต็นท์ที่กางเป็นแถวเอาไว้เยอะมาก แต่ละหลังก็หน้าตาคล้าย ๆ กัน เดี๋ยวไปเข้าผิดเต็นท์จะยุ่งเอา พอรู้ที่นอนแล้วเราก็ไปรอรับสัมภาระจากลูกหาบ ตรงจุดที่มีคนไปรอเยอะ ๆ นั่นแหละ อิอิ ได้สัมภาระแล้วใครอยากอาบน้ำก็อาบได้เลย หรือใครอยากเดินเล่น ถ่ายรูป ก็ตามอัธยาศัยจ้า แต่ถ้าใครจะอาบน้ำแนะนำว่าให้รีบอาบนะ เพราะยิ่งค่ำน้ำจะยิ่งเย็น เย็นแบบจะแข็งเลยอะ ไม่ใช่น้ำแข็งนะ แต่เป็นเรานี่แหละที่แข็ง เก็บภาพบรรยากาศมาฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ จ้า อากาศจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ ตอนกลางคืนคือหนาวมากกก ต่างกับตอนกลางวันคนละขั้วเลย เตรียมเสื้อหนา ๆ ไปด้วยนะคะ ขนาดเราว่าเราเตรียมไปแบบหนาแล้ว ก็ยังสั่นอยู่เลย หลังจากเก็บของทำภารกิจเสร็จแล้วก็ออกไปหาอะไรกินที่ร้านขายอาหารกันได้เลย มีอาหารหลากหลายให้เลือกเหมือนไม่ได้อยู่บนภู หมูกระทะก็มีน้า ไม่ต้องกลัวอด แต่ต้องรีบออกไปกินนะคะ ถ้ารอให้เริ่มดึกทางอุทยานเขาจะตัดไฟก่อน เดี๋ยวจะอดกินเอา เช้าแล้วจ้าาา เรามารอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นของที่นี่ ใครที่จะไปต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เลยนะคะ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่พาไป ไปยังไงล่ะ เดินสิคะ แต่ไม่ค่อยไกลมาก เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ที่ผานกแอ่นจะมีโอวิลตินและกาแฟร้อน ๆ ขายด้วยนะ ซื้อมากินแก้หนาว ชมพระอาทิตย์ขึ้นไปด้วย อร่อยกว่ากินอยู่บ้านเยอะเลย ตอนไปถึงแรก ๆ เรารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มีความกลัวปนกับกังวลนิดหน่อย เพราะเราไม่ค่อยชอบความมืด ซึ่งตอนนั้นมันยังมืดอยู่ แต่พอนั่งรอไปสักพัก เริ่มเห็นแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมา มันเหมือนความรู้สึกอึดอัดและความกังวลที่มีค่อย ๆ จางหายไป พร้อมกับความสว่างของแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น พอพระอาทิตย์ขึ้นมาจนทำให้มองเห็นทุกอย่างรอบตัว เรารู้สึกดีและโล่งใจมาก ๆ มันเป็นความรู้สึกสบายใจที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันทำให้ประทับใจกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นในครั้งนี้ และเราก็ได้เข้าใจที่มีคนเคยบอกแล้วว่า "เราเริ่มต้นใหม่พร้อมกับพระอาทิตย์ได้เสมอ" เก็บบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น และถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินกลับเต็นท์จ้า กลับไปทำภารกิจส่วนตัว กินข้าวเติมพลัง เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เสร็จแล้วก็เตรียมของออกเดินทางต่อบนภูกระดึงวันนี้ จุดหมายต่อไปก็คือผาหล่มสัก แต่ก่อนจะไปถึงผาหล่มสักจะได้เจอกับอะไรบ้าง ไปดูกันนน สิ่งที่จะนำทางเราในวันนี้ก็คือ แผนที่เส้นทางเดินเท้าบนภูกระดึง ได้มาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวนั่นเอง แนะนำว่าควรมีนะคะ เพราะถ้าไม่มีเราอาจจะหลงได้ ขนาดมีก็ยังหลงเลย 555+ ขอบอกก่อนว่าผาหล่มสักเป็นจุชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของที่นี่ และเป็นที่ถ่ายรูปมุมยอดฮิตที่เราเห็นกันบ่อย ๆ จากคนที่เคยมา แต่ว่าอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่นี้ประมาณ 9 กิโลเมตรนะคะ และเป็นระยะทางของทางตรง ที่ไม่ได้อ้อมหรือเลี้ยวไปที่ไหน ให้ตายเถอะ พอได้ฟังแล้วใครก็ไม่อยากไป จริงไหม เพราะแค่เดินขึ้นมาก็สาหัสมากแล้ว แต่พวกเราสู้ค่ะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องไปให้ถึงที่สุดสิคะ เดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึง ว่าแล้วก็ไปกันเล้ยยยยย (เราเลือกวิธีการเดินไปนะคะ ใครไม่อยากเดินก็สามารถเช่ารถจักรยานปั่นไปได้ แต่เราคิดว่าน่าจะเหนื่อยพอกัน แต่จะเร็วกว่า) เส้นทางหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรกจะเดินลัดเลาะหน้าผาต่าง ๆ ไป ส่วนอีกเส้นทางจะลัดเลาะไปตามป่า ซึ่งบรรยากาศก็จะแตกต่างกัน หากดินไปตามหน้าผาก็จะได้ชมวิวตามหน้าผาไปเรื่อย ๆ และทางจะใกล้กว่า แต่ถ้าเดินไปในป่าก็จะได้เห็นธรรมชาติในป่าไม้ เจอลำธาร และน้ำตก รวมถึงใบเมเปิ้ลที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่อีกอย่างหนึ่งเลย แน่นอนว่าเราเลือกเดินไปทางป่า เนื่องจากคิดกันแล้วว่าจะต้องเดินกลับทางหน้าผาอยู่แล้ว เพราะตอนเย็นเขาจะไม่ให้เดินเข้าไปในป่า เนื่องจากมันอันตราย ไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร ขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้วต้องเอาให้คุ้มค่าเหนื่อย และนี่คือที่แรกที่เราเดินมาพบ มันคือความสวยงามที่ไม่ทำให้เราผิดหวังกับการเลือกเดินมาทางนี้ ซึ่งจุดแรกเราก็เจอใบเมเปิ้ลเยอะแล้ว เป็นความประทับใจที่เหมือนเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือนเป็นอย่างดี สายน้ำที่เราเห็นเป็นเหมือนลำธารที่ไหลไปเรื่อย ๆ แม้ช่วงนี้น้ำจะไม่ค่อยเยอะ น้ำตกก็ไม่ค่อยมีน้ำไหลลงมา แต่ว่าก็ยังมีความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่งให้เราได้ชื่นชม และทางที่เราจะเดินต่อไปก็จะลัดเลาะไปตามลำธารนี้ มีจุดให้แวะชมธรรมชาติได้ตลอดเส้นทาง เดินไกลแค่ไหนก็ไม่ร้อนเลย เพราะมีต้นไม้ที่ร่มรื่นปกคลุมอย่างหนาแน่น และมีน้ำเย็นสบายให้เอามือลงไปจุ่มได้ คือมันดีมากกก และเส้นทางที่เดินก็สวยมากกก ใช้คำว่างดงามตระการตาได้เลย มันทำให้เราเริ่มหลงใหลในเสน่ห์ของธรรมชาติขึ้นมาแล้วล่ะ และเมื่อเราเดินผ่านเส้นทางนี้ไป เราก็จะเริ่มออกมาสู่เส้นทางที่โล่งแจ้ง เป็นทุ่งหญ้ากว้าง และมีต้นไม้ค่อนข้างน้อย ไม่ร่มรื่นเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่มันก็มีความสวยงามไปอีกแบบนะ ถึงจะร้อนไปหน่อย แต่ก็มีร่มให้นั่งพักระหว่างทางได้ จากจุดนี้ไปคือเราเริ่มเหนื่อยขึ้นแล้ว เริ่มปวดขามากขึ้น และเจ็บเท้ามากขึ้น เดินได้ลำบากขึ้น เพราะพิษจากการเดินขึ้นมาเมื่อวานเริ่มสำแดงผล และเราก็เริ่มบ่นเหมือนกับหลาย ๆ คนที่เคยมา คือเริ่มไม่สนุกแล้วอะ ดูเอาเถิดจ้าว่าแดดขนาดไหน 555+ ภาพที่เห็นคือกำลังเอ็นเตอร์เทรนด์กันอยู่ ด้วยการร้องเพลงและเต้นบ้า ๆ บอ ๆ เพื่อสร้างความสนุกระหว่างทาง แล้วฟ้าก็ปรานีดลให้เราเดินมาเจอกับสระอโนดาต เป็นสระที่น้ำใสและเย็นมาก เราถอดรองเท้าแล้วเอาเท้าลงไปแช่เลย บรรเทาความเจ็บปวด และเป็นการช่วยผ่อนคลาย (ทฤษฎีที่คิดขึ้นเอง) เพราะว่าตอนนั้นเจ็บเท้ามาก คือเท้าโดนกัดจนเป็นแผลไปแล้ว จะถอดรองเท้าเดินก็ไม่ได้ จำใจต้องใส่เดินต่อไป พอได้แช่น้ำแล้วก็ดีขึ้นจริง ๆ นะ มีแรงเดินต่อเลยจ้า หลังจากนั้นเราก็เดินลัดออกมาทางหน้าผา ซึ่งผาแรกที่เราออกมาเจอก็คือ ผาเหยียบเมฆ ผานี้จะมีจุดเด่นคือมีก้อนหินที่ตั้งอยู่ใกล้กับขอบหน้าผา พอเราขึ้นไปยืนถ่ายรูปแล้วจะเหมือนกับยืนอยู่บนฟ้าเลย นี่อาจจะเป็นที่มาของชื่อผาเหยียบเมฆล่ะมั้ง เดาเอา อิอิ เรามานั่งพักและซื้ออะไรเย็น ๆ กินเพื่อเติมพลังกัน ก่อนเดินต่อไปยังผาหล่มสัก จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ นี่คือภาพระหว่างทางเดินจากผาเหยียบเมฆไปผาหล่มสัก ตอนนั้นเราเดินแข่งกับเวลากันมาก ๆ เพราะพระอาทิตย์ก็ต่ำลงเรื่อย ๆ คือใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วอะ ถ้าเราไปไม่ทันเราก็อดถ่ายรูปกันเลยนะ อุตส่าห์เดินมาทั้งวันเพื่อมาที่นี่เลย แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้รีบเสียจนลืมมองระหว่างทางหรอก ทุกวินาทีที่เดินไปเราได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ข้างทางเสมอ มันรู้สึกดีมาก ประทับใจแบบไม่รู้จบ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แต่พอได้เห็นภาพเหล่านี้ มันก็มีแรงเดินต่อไปให้สุดทาง และแล้วเราก็อดใจไม่ไหว ก่อนที่จะไปถึงผาหล่มสัก เราเห็นผาเล็ก ๆ นี้ข้างทาง มันสวยจนบรรยายไม่ถูก เรารีบชวนเพื่อนร่วมทางของเราเข้าไปเก็บภาพเอาไว้ เผื่อว่าเราไม่ได้ถ่ายที่ผาหล่มสัก เราก็ยังได้เก็บภาพสวย ๆ จากที่นี่กลับไป พอหลังจากถ่ายรูปนี้แล้ว พวกเราก็รีบวิ่งแจ้นไปที่ผาหล่มสักกันเลยจ้า แบบว่าไม่รู้แรงมาจากไหน แต่ในใจคิดแค่ต้องไปให้ทันนนMission Complete! ในที่สุดเราก็มาถึงผาหล่มสักแล้วค่าาา ไชโย! คือดีใจมากที่ยังมาทัน แต่ได้ถ่ายรูปมุมนี้แค่ไม่กี่รูป เพราะว่าคนต่อคิวกันเยอะมาก ๆ ก็ต้องรีบถ่ายแข่งกับเวลาอีก เราเลยถ่ายบรรยากาศมุมอื่น ๆ มาแทน จริง ๆ ก็สวยไม่แพ้กันเลย ถ้าเรามัวแต่ไปรอถ่ายแค่ตรงนั้น เราก็อาจจะมองไม่เห็นความสวยงามของจุดอื่นอีกก็ได้ พอเริ่มจะมืดแล้ว เราก็ชวนกันเดินกลับไปยังที่พัก และใช่ค่ะ ระยะทางที่ต้องเดินกลับอีก 9 กิโลเมตร คือท้อมากอะตอนนั้น ยิ่งเดินทางก็ยิ่งมืด ต้องเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์เดินเอา บางช่วงก็เจอเพื่อนเดิน แต่บางช่วงก็ไม่มีใครเลย เงียบมาก มืดมาก น่ากลัวมาก เราไม่กล้ามองกลับหลังหรือมองซ้ายมองขวาเลยจ้า มองไปข้างหน้าอย่างเดียว มองแค่ทางที่เรากำลังจะเดินไปในแต่ละก้าว แต่มีอีกทางที่เรามองก็คือ มองขึ้นไปบนฟ้า เพราะว่าดวงดาวมันส่องแสงระยิบระยับเต็มไปหมด และเหมือนอยู่ใกล้กับเราแค่เอื้อม เป็นภาพที่งดงามมาก ทำให้เราได้รู้ว่า ท่ามกลางความมืดนั้น มันได้ทำให้เราพบกับบางสิ่งบางอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เราชอบ ในบางครั้ง การที่เราจะได้พบกับสิ่งสวยงามที่ซ่อนอยู่ เราก็ต้องยอมเดินฝ่าความกลัวในจิตใจไปให้ได้ก่อน สรุปว่าคืนนั้นเราเดินกลับถึงเต็นท์เกือบ 3 ทุ่ม ซึ่งเขาใกล้จะปิดไฟแล้ว พอพวกเราเข้าไปพักเหนื่อยในเต็นท์ได้แป๊บเดียว ไฟก็ดับไป และแน่นอนพวกเรายังไม่ได้ออกไปกินข้าวกันเลย ต้องหาของกินที่เหลืออยู่มากินกันไปก่อน เป็นอะไรที่ทรหดอดทนมาก ๆ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเราวางแผนไม่ดี และกะเวลาผิดพลาดด้วยแหละ ทำให้ไปถึงที่หมายค่ำ และกลับมาดึกจนเกินไป ซึ่งระหว่างทางที่เดินกลับมานั้น เราพูดกับเพื่อนน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะว่าเหนื่อยจนไม่มีแรงจะพูดแล้ว บางช่วงถึงกับร้องไห้ เพราะหนาวมาก ตัวแข็งไปหมด ปวดขา ปวดเท้า เหมือนมันจะยกขาเดินต่อไม่ไหวแล้ว แต่มันก็ต้องพยายามเดินต่อไป เพราะตอนนั้นไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพื่อนก็จะตายเหมือนกัน 555+ วันนี้พวกเราเดินรวมระยะทางทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 30 กิโลเมตร คือเหมือนเดินรอบภูเลยอะ แต่มันก็ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นนะ ได้ฟังเสียงในใจตัวเอง ได้ฟังความรู้สึกนึกคิดที่มี มันผุดขึ้นมามากมายไปหมด ที่สำคัญระหว่างทางที่เดินไปในป่านั้น มันไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ให้เราเล่นเลย ทำให้เราได้อยู่กับสิ่งรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา อยู่กับเพื่อนร่วมทาง อยู่กับธรรมชาติที่เห็นตรงหน้าจริง ๆ ถึงตอนนั้นเราจะบ่นว่าเหนื่อย อยากกลับบ้าน เรามาทำอะไรที่นี่ และจะไม่มาอีกแล้วก็เถอะ แต่ลึก ๆ ในใจก็ซ่อนความรู้สึกประทับใจและข้อคิดต่าง ๆ เอาไว้ไม่น้อยเลย เช้าแล้วววว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ พวกเราตื่นมาทำภารกิจส่วนตัว เก็บกระเป๋าสัมภาระ และไปกินข้าวก่อนที่จะเดินลงอีก 9 กิโลเมตร มันสุดจริง ๆ เลยการเดินทางครั้งนี้ ขานี่ตึงไปหมด เราเอาสัมภาระไปจ้างลูกหาบแบกลงไปให้เช่นเคย ถ้าแบกเองตายแน่ ๆ เพราะแค่เอาตัวลงไปก็จะไม่รอดอยู่แล้ว การเดินลงก็ไม่มีอะไรมาก เดินไปตามทางที่เดินขึ้นมา แต่ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกันนะ ตอนแรกคิดว่าถ้าลงคงไม่เหนื่อยหรอก เพราะมันไม่ได้ปีน ใช่จ้า มันไม่ได้ปีนจริง ๆ แต่มันต้องคอยเบรก คอยจิกเท้าเอาไว้ ไม้ให้เราไถลลงมา เพราะว่ามันชัน ถ้าเราลงเร็วเกินไป ก็เสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งมันทำให้เราต้องใช้แรงขาเยอะมาก ๆ อีกเช่นเคย บวกกับขาเราที่ตึงอยู่แล้ว มันก็ยิ่งปวดหนักเข้าไปใหญ่ คิดในใจตลอดว่าเมื่อไหร่จะถึง ๆ แต่ทุกครั้งที่เดินมาแล้วหันกลับไปมองข้างหลัง มันประทับใจตลอดเลย เพราะหนทางที่เราผ่านมามันสวยงามเหลือเกิน ถึงตอนนั้นเราจะรู้สึกว่ามันลำบากมากก็เถอะ ท้ายที่สุดเราก็พาตัวเองเดินลงมาถึงข้างล่างได้อย่างปลอดภัย แม้จะมีบาดแผลฝากไว้เล็กน้อย การเดินทางขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ คือการเริ่มต้นอะไรหลาย ๆ อย่างสำหรับเราเลย เราบอกไม่ได้หรอกว่าที่นี่มีดียังไงบ้าง บอกได้แค่ว่ามันดีต่อใจของเรา เป็นภูเขารูปหัวใจที่ซ่อนความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ให้เราได้เดินทางไปค้นหา มันมีทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในการเดินทางอันแสนยาวไกลนี้ และที่สำคัญที่สุด มันทำให้เราได้รู้ว่า การออกเดินทางนั้นมันพิเศษและมีค่ามากขนาดไหน และเป็นจุดเริ่มต้นให้เราอยากออกเดินทางด้วยตัวเองอีกหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะการเดินทางไปเรียนรู้ธรรมชาติ ใช่แล้วล่ะ "ที่นี่ทำให้เราค้นพบโลกอีกใบของตัวเอง" เป็นโลกที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจและน่าออกไปค้นหามากซะด้วยสิ แล้วคุณล่ะ เคยไปภูกระดึงกันหรือยัง ถ้ายัง เราก็อยากจะให้ลองไปดูสักครั้งนะ แล้วคุณจะได้รู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก แต่จงออกไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง เพราะความมหัศจรรย์ของธรรมชาติรอคุณอยู่ (ภาพประกอบทั้งหมดโดย : ผู้เขียน)