รีเซต

10 ที่เที่ยว อลาสก้า Alaska อเมริกา ดินแดนน้ำแข็ง มหัศจรรย์กว่าที่คิด!

10 ที่เที่ยว อลาสก้า Alaska อเมริกา ดินแดนน้ำแข็ง มหัศจรรย์กว่าที่คิด!
SummerB
14 ตุลาคม 2564 ( 22:00 )
22.6K

      ผจญภัยสู่ดินแดนน้ำแข็ง ตามล่าหาแสงเหนือ และธรรมชาติสุดอลังกับ 10 ที่เที่ยว อลาสก้า Alaska ดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของ อเมริกา ที่ไม่ได้โดดเด่นแค่ธรรมชาติในช่วงหน้าหนาวเท่านั้น แต่ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ในช่วงฤดูร้อน และฤดูใบไม้เปลี่ยนสี รวมถึงบ้านเมืองน่ารักๆ และกิจกรรมเจ๋งๆ ให้ไปทำอีกมากมาย รับรองไปกี่ทีก็ไม่มีเบื่อสำหรับ อลาสก้า แห่งนี้!

บุกดินแดนน้ำแข็ง อลาสก้า ที่เที่ยวอเมริกา



ทำความรู้จักกับ อลาสก้า Alaska

 

       ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุดของ สหรัฐอเมริกา เป็นที่ตั้งของ อลาสก้า (Alaska) ดินแดนแห่งภูเขาและธารน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมือง ก่อนจะมาเป็นส่วนหนึ่งของ รัสเซีย ในช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งสมัยของ จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Alexander II) ของรัสเซีย ก็ได้ขาย อลาสก้าให้กับอเมริกาในปี ค.ศ. 1867 ด้วยราคาเพียง 7.2 ล้านดอลล่า และแล้วอลาสก้าก็ได้กลายเป็นรัฐลำดับที่ 49 และมีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในอเมริกานับแต่นั้นมา โดยมี จูโน (Juneau) เป็นเมืองหลวง และ แองคอเรจ (Anchorage) เป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญที่สุดในอลาสก้า

        ภายใต้ความหนาวเย็นสุดขั้วและดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด แท้จริงแล้วอลาสก้าได้แอบซ่อนทรัพยากรณ์ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ไว้มากมาย และมีฤดูกาลเหมือนกับประเทศทั่วๆ ไปนั่นก็คือ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และ ฤดูหนาว เพียงแต่ฤดูหนาวจะยาวนานมากที่สุดเท่านั้น ในแต่ละฤดูก็จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น พายเรือ ชมธรรมชาติสีเขียวและดอกไม้หลากสีที่เบ่งบานในฤดูร้อน ชมใบไม้ผลัดสีเป็นสีแดง เหลือง ส้ม ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และตามล่าแสงเหนือ นั่งรถลากเลื่อนลุยหิมะในช่วงฤดูหนาว ทุกฤดูต่างมีเสน่ห์อันเหลือล้นจนใครๆ ก็คาดไม่ถึงว่าอลาสก้าจะมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะขนาดนี้เลย



1. Exit Glacier

 

 

      ธารน้ำแข็ง Exit (Exit Glacier) เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของ อุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ด (Kenai Fjord National Park) สามารถเดินทางจากเมืองซีวอร์ดไปไม่ไกลนัก และตั้งอยู่ใกล้ๆ กับถนน เมื่อเดินเข้าไปแล้วทุกคนจะได้พบกับทุ่งน้ำแข็งอันแสนกว้างใหญ่ที่ขั้นระหว่างขุนเขาหลายลูก ไม่ว่าจะไปเยือนในฤดูไหน ทุ่งน้ำแข็งแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ และแผ่ไอความเย็นมาจนถึงผู้คนที่ไปเยี่ยมเยียน รอบๆ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์สุดแปลกตาด้วยค่ะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/uNG3uT3rD7rEdkSC8 

==========

 

2. อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ 

Glacier Bay National Park

 

 

       อุทยานแห่งชาติกลาเซียร์ เบย์ (Glacier Bay National Park) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองจูโน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ที่ใครๆ ก็ต้องมาชมธารน้ำแข็งยักษ์ขนาด 3 ล้านเอเคอร์ ที่เกิดจากการทับถมของหิมะมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ตั้งแต่ยุค The Little Ice Age และขยายอาณาเขตเรื่อยมาจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 18 และยังคงความยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจบุัน หากอยากชมความยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็งแห่งนี้อย่างเต็มตาแนะนำให้นั่งเรือสำราญเลยค่ะ รับรองได้สัมผัสบรรยากาศของธารน้ำแข็งได้อย่างใกล้ชิดสุดๆ ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เห็นวาฬเพชฌฆาตขึ้นมาโลดแล่นบนผิวน้ำด้วยนะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/KhpSXWdsoGHxgBRC6 

==========

 

3. อุทยานแห่งชาติเดนาลี

Denali National Park and Preserve

 

 

      ท่องไปในทุ่งหญ้าและผืนป่าอันกว้างใหญ่ของ อุทยานแห่งชาติเดนาลี (Denali National Park and Preserve) ที่มีลักษณะภูมิประเทศและผืนป่าที่หลากหลาย โดยเฉพาะป่าสนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นที่ตั้งของ ยอดเขาเดนาลี (Denali) หรือ ยอดเขา McKinley (Mount McKinley) ยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความสูงถึง 6,190 เมตรเลยทีเดียว หากอยากท่องเที่ยวในอุทยานฯ แห่งนี้จะต้องเดินทางด้วยบัสของอุทยานฯ เท่านั้น เพราะไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไป ระหว่างทางเราก็จะได้เห็นวิถีของสัตว์ในบริเวณนี้ไม่ว่าจะเป็น หมีกลิซลี่ กวางมูส หมาป่า และ แกะดอล แกะพันธุ์หายากที่มีเฉพาะอลาสก้าและบางพื้นที่ในแคนาดาเท่านั้นค่ะ

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/gtxrSPgA7BmCpcvk6 

==========

 

4. Wrangell-St.Elias National Park and Preserve

 

Wrangell-St.Elias National Park & Preserve ที่เที่ยวอลาสก้า Alaska อเมริกา

 

       อุทยานแห่งชาติ Wrangell-St. Elias National Park and Preserve เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในอลาสก้า และเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาถึง 16 แห่ง เต็มไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งภูเขา ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาอย่าง ธารน้ำแข็งฮับบาร์ด (Hubbard Glacier) นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในพิกัดล่าแสงเหนือที่น่าไปชมมากๆ อีกด้วย ภายในอุทยานฯ ยังเป็นที่ตั้งของ Kennecott Mines National Historic Landmark เหมืองโบราณที่ถูกทิ้งร้าง แต่ยังคงหลงเหลือประวัติและเรื่องราวให้พวกเราได้ศึกษาค่ะ

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/h2tWn5sxzpX8A9Zf6 

==========

 

5. ซีวอร์ด

Seward

 

 

       เมืองซีวอร์ด (Seward) เมืองท่าเก่าแก่ เงียบสงบ มีขนาดไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม โดยเฉพาะ เส้นทางหลวงซีวอร์ด (Seward Highway) ที่ลัดเลาะตามชายฝั่งทะเล ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติทั้งสองข้างทาง บางครั้งก็อาจจะได้เห็นเหล่ากวางมูสและหมีกลิซลี่เดินผ่านด้วย แถมยังตั้งอยู่ไม่ไกลจาก อุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ด (Kenai Fjord National Park) ด้วยค่ะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/tdaoFqJZdLrqA2a76 

==========

 

6. แฟร์แบงค์ส

Fairbanks

 

 

       ถัดจากเมืองซีวอร์ดจะพบกับ แฟร์แบงค์ส (Fairbanks) เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอลาสก้า มีประชากรกว่า 100,000 คน และขึ้นชื่อเรื่องการไปตามล่าหาแสงเหนือที่สามารถชมได้แม้กระทั่งในตัวเมือง และสนุกสนานไปกับการนั่งรถลากเลื่อนโดยสุนัขในช่วงหน้าหนาว

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/HkHfKj8nWKCNN4HCA 

==========

 

7. สแก็กเวย์

Skagway

 

 

       สแก็กเวย์ (Skagway) เมืองเล็กน่ารัก เต็มไปด้วยบ้านเรือนเก่าแก่สีสันสดใสที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี ในสมัยก่อนเมืองแห่งนี้เคยรุ่งเรืองจากการขุดทอง แต่หลังจากหมดยุคทอง ผู้คนก็เริ่มแยกย้ายออกไป ทำให้ปัจจุบันมีประชากรหลงเหลืออยู่เพียงพันกว่าคนเท่านั้น แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในแต่ละปีค่ะ นอกจากนั่งรถลากเลื่อนสุนัขแล้ว กิจกรรมไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของเมืองสแก็กเวย์คือการนั่งรถไฟสาย White Pass & Yukon Route เส้นทางรถไฟเก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1898 ที่จะพาทุกคนขึ้นเขาสูงถึง 3,000 ฟุต ด้วยระยะทาง 20 ไมล์ ทำให้พวกเราได้ตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไปตลอดทาง

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/oLjdboUyirRWpWQu9 

==========

 

8. Totem Bight State and Historic Park

 

 

     เมื่อปี ค.ศ. 1938 หน่วยงานรักษาป่าไม้ของสหรัฐอเมริกาได้บูรณะซ่อมแซม เสาโทเทม (Totem Pole) ศิลปะของชนพื้นเมืองของแถบอเมริกาเหนือขึ้นใหม่ และจัดตั้ง Totem Bight and State Historic Park ซึ่งได้มีการเชิญช่างฝีมือมาแกะสลักเสาโทเทมเพิ่มเพื่ออนุรักษ์ศิลปะของชนเผ่าพื้นเมืองสืบต่อไป สำหรับใครที่อยากไปชมศิลปะและวัฒนธรรมดั้งเดิมของอลาสก้า ที่นี่เป็นพิกัดที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/o8T7C6z8YNss4s527 

==========

 

9. อุโมงค์น้ำแข็งเมนเดนฮอลล์

Mendenhall Ice Cave

 

 

       อุโมงค์น้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Ice Cave) เป็นส่วนหนึ่งของ ธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier) พิกัดยอดฮิตของ เมืองจูโน (Juneau) ที่ใครๆ ก็ต้องไปเยือนเพื่อชมความมหัศจรรย์ของผลึกน้ำแข็งที่ส่องแสงเป็นประกายสีฟ้างสวยงาม และมีอายุยาวนานถึง 1,200 ปี อุโมงค์น้ำแข็งแห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำในลำธารที่ไหลผ่านธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นอุโมงค์ยาวถึง 19 กิโลเมตร เต็มไปด้วยด้วยก้อนหินและผลึกน้ำแข็งอันน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/kRTPfaBqRjhVZvAT6 

==========

 

10. เทรซี่ อาร์ม ฟยอร์ด

Tracy Arm Fjord

 

 

      ล่องเรือชมวิวสวยสุดอลังที่ เทรซี่ อาร์ม ฟยอร์ด (Tracy Arm Fjord) ผืนน้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งจนเกิดเป็นรอยเว้าแหว่งตรงหุบเขา เมื่อน้ำแข็งละลายก็หลอมรวมเป็นทะเลสาบขนาดกลาง ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันน่าตื่นตะลึง ในช่วงฤดูร้อนเราจะได้เห็นสายน้ำไหลลงมาจากหน้าผาเป็นน้ำตก ดูสดชื่นและสวยงามมากๆ นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์บก เช่น แมวน้ำ วาฬเพชฌฆาต เจ้าหมีกริซลี่ กวาง และหมาป่าอีกด้วยค่ะ ถ้าอยากนั่งเรือชมวิวชิลๆ ก็ต้องมาที่นี่เลย

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/ohJFL52KJ2tbmJSW9 



ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่พักสวย
แชร์ทริปสุดชิล โพสต์ภาพสุดปัง ของคุณได้แล้วที่ แอปทรูไอดี
คลิกเลย >> TrueID Travel Community <<