กลุ่มภาคเหนือตอนบน ๒ หรือที่เรียกกันว่า “ล้านนาตะวันออก” ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ถือเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีเส้นทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดดเด่นทางด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางธรรมชาติตลอดจนวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่หลากหลาย จึงเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะดินแดนที่เป็นสุดขอบสยามนามล้านนาตะวันออกอย่างจังหวัดน่าน ซึ่งนอกจากจะเป็นเมืองที่รุ่มรวยไปด้วยคุณค่าเชิงวัฒนธรรมของแหล่งท่องเที่ยวทั้งด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมไปถึงวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวน่านแล้ว ยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าสนใจอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคที่สยามประเทศของเรากำลังปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาคในลักษณะของการรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง นอกจากเรื่องราวอันเลื่องลือในบันทึกทางประวัติศาสตร์อย่างกรณีของ เจ้าศรีพรหมา พระธิดาใน พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่านในสมัยนั้น ที่อาจหาญปฏิเสธความรักจากรัชกาลที่ ๕ โดยที่พระองค์ก็ทรงมีพระเมตตามิได้ถือเอาเป็นโทษานุโทษแล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเมืองน่านในยุคสมัยเดียวกันนี้ ก็คือเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ทรงมีพระราชกรุณาให้สร้าง “วัดน้อย” ขึ้นเพื่อเป็นการรักษา ‘สัจจวาจา’ ของ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้านครเมืองน่านในขณะนั้น นั่นเอง ดังที่หลายคนทราบกันดี ว่าในสมัยนั้นประเทศไทยของเราได้แบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นมณฑลตามระบบมณฑลเทศาภิบาลตามพระราชดำริของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นการเลียนแบบการปกครองของอังกฤษในพม่าและมาเลเซีย ซึ่งในตอนนั้นเมืองน่านจัดอยู่ใน มณฑลพายัพ (มณฑลฝ่ายตะวันตกเฉียงเหนือ) หรือ มณฑลลาวเฉียง หรือ มณฑลลาวพุงดำ อันประกอบครอบคลุมไปด้วยอาณาเขตของอดีตอาณาจักรล้านนาทั้ง ๖ หัวเมือง ได้แก่ เมืองนครเชียงใหม่ (ครอบคลุมพื้นที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย) เมืองนครลำปาง เมืองนครลำพูน เมืองน่าน เมืองแพร่ และ เมืองเถิน (ซึ่งต่อมาในพ.ศ. ๒๔๔๖ ได้ยุบลงรวมเข้ากับเมืองนครลำปาง) โดยในแต่ละมณฑลนั้น เจ้าเมืองจะไม่มีอำนาจในการปกครอง เพราะทางส่วนกลางจะส่งข้าหลวงเทศาภิบาลเข้าไปเป็นผู้ปกครองเอง ตามหลักฐานที่มีการบันทึกเอาไว้ ว่ากันว่าในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ ๖๓ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสตรัสถามถึงจำนวนวัดภายในเมืองน่าน พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช จึงได้กราบทูลไปว่าในเมืองน่านมีวัดทั้งหมด ๕๐๐ วัด ทว่าเมื่อพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชได้เสด็จกลับไปยังเมืองน่านและได้สำรวจจำนวนวัดใหม่อีกครั้ง พระองค์กลับพบว่ามีจำนวนวัดทั้งหมดอยู่เพียง ๔๙๙ วัดเท่านั้น คลาดเคลื่อนไปหนึ่งวัด ดังนั้นเมื่อความนี้ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ช่างพื้นเมืองน่านก่อสร้าง “วัดน้อย” ขึ้น ตรงบริเวณโคนต้นโพธิ์หน้าหอคำ หรือ วังที่ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ทรงประทับนั่นเอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีจำนวนวัดครบถ้วนตามที่ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ได้กราบทูลถวายรายงานให้พระองค์ทรงทราบในตอนต้น (บ้างก็ว่าเพื่อให้ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช รอดพ้นความผิดฐานกล่าวถวายรายงานเท็จต่อพระมหากษัตริย์แห่งสยาม) วัดน้อย มีโครงสร้างลักษณะเป็นวิหารขนาดเล็กมองดูเพียงผิวเผินคล้ายกับคล้ายพระภูมิ เพราะวัดมีขนาดกว้างเพียง ๑.๙๘ เมตร ยาว ๒.๓๔ เมตร และสูง ๓.๓๕ เมตรเท่านั้น ตัววิหารก่ออิฐถือปูนตามแบบศิลปะล้านนาสกุลช่างเมืองน่าน ผังของวิหารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนกับผังของวัดทั่วไป หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (คือทางซุ้มดอกลีลาวดี และวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร) หลังคาของวิหารก่ออิฐถือปูนเป็นทรงจั่วซ้อนกันสองชั้น โดยภายในวิหารก็จะมีพระพุทธรูป และแผงพระพิมพ์ไม้ต่าง ๆ ประดิษฐานอยู่เหมือนกับวัดโดยทั่วไป วัดน้อย ถือเป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นผนวกกับประวัติความเป็นมาอันน่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ทั้งในส่วนของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ราชสำนัก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงได้ยกให้ “วัดน้อย” ของจังหวัดน่านเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen in Thailand ที่หากใครได้มาเยือนจังหวัดน่านต้องแวะเข้ามาสักการะให้ได้สักครั้ง นอกเหนือไปจากวัดภูมินทร์และวัดพระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของน่านนคร ปัจจุบันวัดน้อยตั้งอยู่ในเขตพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองน่าน ซึ่งอยู่ตรงกลางเมืองติดกับวัดภูมินทร์และวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ใกล้ ๆ กับซุ้มดอกลีลาวดีซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของจังหวัดน่านเลยครับ เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น ด้วยขนาดของวัดที่ค่อนข้างเล็กมากเมื่อเทียบกับวัดโดยทั่วไป แต่ในทางกลับกัน เมื่อเรามายืนอยู่ตรงหน้าวัดน้อย เรากลับมองเห็นหมดเลยทั้งในส่วนของซุ้มดอกลีลาวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองน่าน วัดภูมินทร์ และวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เหมือนกับจะเป็นสัจธรรมที่บอกให้เราทราบอยู่กลาย ๆ ว่าการอยู่ในมุมเล็ก ๆ นั้นอาจทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ อย่าลืมนะครับ ถ้าได้แวะเวียนมาเที่ยวเมืองน่าน ก็อย่าลืมแวะมากราบสักการะวัดน้อยให้ได้สักครั้งก่อนเดินทางกลับ ความรักอันยิ่งใหญ่อาจก่อให้เกิดสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ได้เสมอ จนทำให้เราได้รู้จักอนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่อย่าง ทัชมาฮาล หรือ ปราสาทอังกอร์-นครวัด” (Angkor Wat) แต่ที่วัดน้อยแห่งนี้ จะทำให้เราได้มองเห็นในอีกมุมหนึ่งว่าสิ่งที่เล็กที่สุดนั้น ก็อาจจะสร้างมาจากความรักอันยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน นั่นก็คือน้ำพระทัยรักใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งราชวงศ์จักรี ที่พระองค์ทรงมีต่อ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ ... ไม่ว่าทั้งสองพระองค์จะดำรงฐานะความสัมพันธ์กันในรูปแบบใดก็ตามที ภาพประกอบ โดย ผู้เขียน