ได้ยินคำว่า "กระซิบรัก" หลายคนคงนึกถึง ปู่ม่านย่าม่าน จิตรกรรมฝาผนังโบราณ ที่วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน อันโด่งดังใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้ว มีอีกหลายวัดเลยที่มีภาพเขียนโบราณอันสุดแสนโรแมนติก วันนี้ขอส่งภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณของวัดราชบูรณะเข้าประกวดค่ะ วัดราชบูรณะ จังหวัดพิษณุโลก เป็นวัดเก่าแก่โบราณไม่มีหลักฐานชัดๆ ว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานกันว่า น่าจะสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยอาณาจักรสุโชทัย และสภาพของวัดก็ได้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาจนถึงสมัยอาณาจักรอยุธยาตอนต้น. เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาไปอยู่ที่ พิษณุโลก ใน พ.ศ. 2006 (ก็ราวๆ 557 ปีมาแล้ว) ได้ทรงฟื้นฟูวัดราชบูรณะให้อยู่ในสภาพดีขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องงงนะคะ ว่าทำไมประเทศไทยเรามีชื่อวัดซ้ำกันหลายแห่งมาก เพราะในสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยาหรือ สมัยต้นรัตนโกสินทร์ การสร้างเมืองหลวงขึ้นแต่ละแห่ง ตามโบราณราชประเพณี จะต้องมีวัด 3 วัด คือ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และ วัดราชประดิษฐ์ ดังนั้นบรรดาเมืองที่เคยเป็นราชธานีปกครองตนเองในอดีต ก็จะต้องมีวัดทั้งสามนี้อยู่ในตัวเมืองด้วย ถึงจะนับว่าเป็นราชธานีที่สมบูรณ์ ประวัติบนแผ่นป้ายของวัดระบุว่า "วัดราชบูรณะ เดิมไม่ปรากฏชื่อ ก่อสร้างมานาน 1,000 ปีเศษ ก่อนที่พระยาลิไท (สมัยกรุงสุโขทัย) ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ ดังนั้นวัดนี้จึงได้ชื่อว่า วัดราชบูรณะ..." วัดราชบูรณะ แห่งนี้ก็ได้ยืนหยัดท้าลมท้าฝนต่อมาอีกหลายร้อยปี จนอาณาจักรอยุธยาล่มสลาย บ้านเมืองระส่ำระสาย ไม่มีคนทะนุบำรุง วัดจึงทรุดโทรมมาก จนได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาอีกครั้งในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ยุคนี้ได้มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ จะเป็นเรื่อง รามเกียรติ์ และพระพุทธประวัติ แต่ก็มีภาพวิถึชีวิตของคนสมัยนั้นแอบแฝงอยู่ด้วย ซึ่งภาพจิตรกรรมพวกนี้มันก็มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน ให้คนรุ่นเราได้เห็นกันเต็มตา มันตื่นตาตื่นใจตรงนี้แหละ.. แว่บแรกที่เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัด มันก็ไม่สะดุดตาอะไรนัก เพราะโทนสีมันมืดๆ ทึมๆ แต่ถ้าไปเพ่งพิศกันดีๆ จะพบว่ามันน่าสนใจไม่น้อยเลย เด็กผู้ชายก็อาจชอบ เพราะเรื่องรามเกียรติ์ จะมีทหารลิงหน้าตาน่ารักนำทัพโดยหนุมาน. ขี่นกหรือขี่ม้าไปทำสงครามกับยักษ์ น่าเอ็นดูเป็นที่สุด ถ้าเป็นทหารสมัยนี้ ก็เรียกว่า กองพลทหารม้า และกองพลทหารนก ทหารลิงของหนุมาน ทำการรบกับยักษ์ได้อย่างน่ารักมาก ภาพข้างล่างนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นแผนกเสบียงอาหารของกองทัพ หรือกำลังขนหินไปถมแม่น้ำทำทางเดิน และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ประทับใจมากๆ ของป้าในวัดนี้ ก็คือ ภาพโรแมนติก กระซิบรัก อันนี้เลย คุณปู่ทวดออดอ้อนแบบนี้ คุณย่าทวดของพวกเราต้องใจอ่อนแน่นอนค่ะ เพิ่งรู้วันนี้นี่เองว่า หนุ่มโบราณก็จีบสาวด้วยการให้ดอกไม้เหมือนกัน น่ารักง่ะ... มีแต่ตัวกับหัวใจและดอกไม้มาให้เธอ ในมือมีดอกไม้ ในหัวใจมีแต่รักจริง เพื่อเธอคนเดียว.. ปู่ทวดมาเป็นเพลงเลยค่ะ.. 55555 อุ่ย.. ดูไป จิ้นไป มโนไปเรื่อย.. อิอิ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง มักจะสอดแทรกวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้นเข้าไว้ในภาพ การได้ไปเห็น ก็เหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปแอบมองคนโบราณใช้ชีวิตกัน มันตื่นตาตื่นใจมากจริงๆ ภาพนี้พอสู้ปู่ม่านย่าม่านแห่งวัดภูมินทร์ พอไหวไหมคะ น่ารักไม่แพ้กัน อ้อนนัก เดี๋๋๋๋๋ยวก็รักเสียเลย ย่าทวดกล่าว.. อิอิ ขอจับมือเธอมาวาง ตรงกลางหัวใจ... ฮู้ยย.. มโนเก่งเกินไปแล้วนะป้า.. ฮ่าๆๆ แบบนี้หรือเปล่า ที่คนโบราณเรียกว่า วิวาห์เหาะ ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า ด้วยปีกแห่งรัก... 55555 แม้นน้องนี้มี นมข้างเดียว. พี่เขียวก็ยังรัก.. แหะ..แหะ... แซวคุณทวด. เพราะสมัยนั้นจิตรกรยังไม่รู้เทคนิคการวาดที่จะทำให้ภาพดูมีมิติลึกตื้น ดังนั้นบริเวณหน้าอกที่มีสไบพาดบังไว้มันเลยดูแบนแต๊ดแต๋ ไม่โหนกนูนเหมือนกับหน้าอกอีกข้างได้ เลยดูเหมือนว่า คุณย่าทวดมีนมข้างเดียว ก็เปรี้ยวได้.. อิอิ ยุคนี้โควิดอาละวาด ทำให้เราไปเที่ยวไหนไกลๆ กันไม่ค่อยจะได้ สนามบินก็ปิดๆ เปิดๆ ตามสถานการณ์การระบาด คาดเดายาก สายการบินก็ลดเที่ยวบิน ยามใดที่โควิดเบาบางแล้ว วัดจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่นอกจากจะไปไหว้พระทำบุญให้จิตใจผ่องใสแล้ว ก็ยังมีอะไรอื่นๆ ให้เราได้ชมหลายอย่าง โดยเฉพาะวัดเก่าแก่ เช่น วัดราชบูรณะแห่งนี้ ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคปู่ย่าตาทวด อายุกว่า 150 ปี และวัดราชบูรณะ จังหวัดพิษณุโลก แห่งนี้ ก็เป็นวัดเดียวในโลกที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังของ ฝาแฝดอิน-จัน ในตำนานแฝดสยามอันมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก อิน-จัน มีพ่อเป็นคนจีน แม่เป็นคนไทย เกิดที่จังหวัดสมุทรสงคราม ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเกิดมาก็มีตัวติดกันเลย และถือว่าเป็นแฝดตัวติดกันคู่แรกของโลกที่สามารถมีชีวิตยืนยาวไปจนแก่เฒ่า ช่วงปลาย รัชกาลที่ 3 ได้มีฝรั่งมาขอเช่าแฝดอิน-จัน จากมารดา เพื่อพาไปโชว์ตัวในอเมริกา การแสดงโชว์ประสบความสำเร็จมาก ทำให้ประเทศสยาม (ชื่อประเทศไทยในสมัยนั้น) โด่งดัง เป็นที่รู้จักของนานาประเทศ แฝดอิน-จัน ได้ตั้งรกรากอยู่ในอเมริกา แต่งงานกับผู้หญิงสองคนพี่น้อง มีลูกหลานมากมาย และไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย ปัจจุบันก็มีทายาทของแฝดอิน-จัน หลายร้อยคนในอเมริกา และวัดนี้ก็ยังมีพระอุโบสถที่สุดคลาสสิค แม้จะผ่านการซ่อมแซมบูรณะมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่พระอุโบสถก็ยังคงลักษณะของการก่อสร้างแบบศิลปะสุโขทัยโบราณไว้เป็นอย่างมาก ที่ชัดเจนก็คือ ตรงผนังด้านล่างที่ติดกับพื้น จะเจาะเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไว้เป็นระยะๆ เพื่อให้เป็นช่องลมระบายอากาศ ทำให้ภายในพระอุโบสถมีความเย็นสบาย แสดงถึงภูมิปัญญาของคนโบราณอันน่าทึ่ง ซึ่งหาดูยากมากสำหรับศิลปะการก่อสร้างแบบโบราณอย่างนี้ เวลาเดินเข้าไปในโบสถ์ เป็นครั้งแรกเลยที่ป้ารู้สึกเสมือนว่า เวลาได้หมุนย้อนกลับไปหลายร้อยปี ปลื้มปริ่มน้ำตาแทบไหล วัดราชบูรณะ จะอยู่ติดกับ วัดนางพญา (มีถนนมิตรภาพคั่น) และถัดไปก็เป็นวัดใหญ่ (วัดพระศรีรัตนมหาธาติวรมหาวิหาร) ถ้าใครไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช เรียบร้อยแล้ว ก็เดินมาไหว้พระที่วัดนางพญาอีกแห่ง แล้วก็เดินข้ามสะพานลอยมาไหว้พระที่วัดราชบูรณะอีกนิดเดียว เรียกว่า จอดรถทีเดียว เที่ยวได้สามวัดเลยนะ กระซิบๆ รู้แล้วอย่าเอ็ดไปเด้อ วันนั้นที่ป้าไปวัดราชบูรณะ บังเอิญเป็นวันที่มีคนมาเที่ยววัดใหญ่มากมาย ที่จอดรถในวัดนางพญาและในวัดใหญ่ เต็มล้นจนไม่มีที่จอด ต้องขับรถวนไปเวียนมาหลายรอบ ป้าเลยต้องเปลี่ยนใจมาหาที่จอดในวัดราชบูรณะแทน พอขับเข้ามาในวัด ที่จอดรถเพียบ ก็เลยตามนั้น จอดรถทีเดียว เที่ยวสามวัดค่ะ แค่เดินข้ามสะพานลอยไปนิดเดียว ก็ถึงวัดนางพญา และวัดใหญ่แล้ว หลวงพ่อทองสุข พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ยุคนี้เป็นยุค นิวนอร์ม ของป้า ต้องปรับเปลี่ยนวิถีการท่องเที่ยวอย่างยกใหญ่ เพื่อเป็นการประหยัดตังค์ในกระเป๋า ป้าเลยหันมาเที่ยววัดโบราณ ก็พบว่า มันสนุกไม่แพ้ไปเที่ยวเมืองนอกเลยนะ ขออำลากันไปด้วยภาพนี้ค่ะ จิตรกรรมฝาผนังในวัดราชบูรณะ อันนี้เรียกว่า กระซิบรัก ไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่า กระซิบสวาท แทนเสียล่ะมั๊ง... คริ..คริ... ภาพถ่ายโดยผู้เขียน