บนเส้นทางอันยาวไกลของการเดินทางแสนเนิ่นนาน รถวิ่งผ่านหมู่บ้านร้านค้ามาจนถึงทุ่งเวิ้งกว้าง พลันสิ่งหนึ่งก็เรืองรองอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ส่องแสงเจิดจรัสราวกับวิมานบนดิน จนเรารำพึงออกมาว่า "สวยจัง" พลางมองจนเหลียวหลัง และคิดในใจว่า "แล้วจะกลับมา" กว่าจะได้กลับมาลำปาง อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ ๆ งามดั่งวิมานในยามค่ำคืน เราก็ไปวนมาซะหลายจังหวัด แล้วพอมาถึงก็แวะที่ตลาดทุ่งเกวียนก่อนเลย (ไม่ค่อยห่วงกินเท่าไร แค่ซื้อของฝากก่อนเข้าไปชมเมืองเท่านั้น) เพราะตลาดแห่งนี้อยู่บนทางหลวง ซึ่งเป็นถนนสายหลัก เลยสะดวกต่อการจอดแวะ แถมยังมีข้าวของมากมาย เริ่มจากเซรามิกอันเป็นสินค้าขึ้นชื่อของลำปาง ไม่ว่าจะเป็นถ้วยชาม ไปจนถึงโมบายโบกสะบัดตามลมเสียงดังกรุ๊งกริ๊งน่ารัก นอกจากนั้น ยังมีสินค้าอื่น อย่างเสื้อผ้าสไตล์เหนือ ๆ ราคาไม่แพง การออกแบบก็มีคิวท์ ๆ อยู่นะ เดินเลือกกันไปเถอะ เพลินดีแท้ และที่ขาดไม่ได้คือของกินเมืองเหนือ รวมถึงไส้อั่ว แคบหมู ซึ่งร้านที่เราไปอุดหนุนนั้นอยู่ด้านใน ทอดแคบหมูกันมาแบบร้อน ๆ มีให้ชิม (เกือบอิ่มแน่ะ) แถมน้ำพริกหนุ่มให้อีก เพราะเราไปกันกลุ่มใหญ่จนแม่ค้าซึ้งใจ พอเดินมาหน้าตลาดก็จะมีร้านไอศกรีมโฮมเมด ราคาไม่แพง เราสั่งรสกะทิ แล้วเกิดอยากชิมรสสตรอว์เบอร์รีด้วย แต่กลัวกินไม่หมด แม่ค้าก็ใจดีตักมาให้ลิ้มลองแบบไม่คิดเงิน ชิมอาหารสารพันกันจนแทบจุก ก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนไปยังวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ซึ่งชื่อวัดมาจากตำนานว่า นางสุชาดานำแตงโมไปถวายพระมหาเถรที่วัด ผ่าแตงโมออกมาปรากฏว่าเป็นแก้วมรกต เพราะท้าวสักกะเทวราชเนรมิตไว้เพื่อให้นำมาแกะสลัก ต่อมามีผู้ไปฟ้องเจ้าเมืองโดยกล่าวหาว่าพระเถระกับนางสุชาดาเป็นชู้กัน เจ้าเมืองจึงสั่งให้ประหารชีวิตนางสุชาดา ส่วนพระเถระรีบอัญเชิญพระแก้วดอนเต้าหนีไป โดยนำไปฝากไว้ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน สำหรับนางสุชาดานั้น ได้มีการสร้างศาลไว้ให้ที่วัดพระแก้วดอนเต้าด้วย เพราะนางอธิษฐานก่อนถูกประหารชีวิตว่า ถ้าบริสุทธิ์จริง ขอให้เลือดอย่าตกถึงพื้น ปรากฏว่าเลือดพุ่งขึ้นไปในอากาศ และแล้วก็มาถึงสถานที่สำคัญ ที่เราเห็นเรืองรองอยู่กลางดงเมื่อค่ำคืนก่อน นั่นคือพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี พอไปถึงก็รีบเดินเข้ากำแพงไปสักการะองค์พระธาตุที่บรรจุพระบรมเกศาธาตุ พระนลาฏ(หน้าผาก)ข้างขวา และอัฐิพระศอ แต่เสียดายกว่าเราจะไปถึงก็เย็นแล้ว กุฏิพระแก้วซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต้าปิดซะแล้ว เลยไปเดินดูบริเวณรอบ ๆ ซึ่งศิลปะและสถาปัตยกรรมสวยงามอลังการมาก ที่ตรึงตาตรึงใจคือวิหารน้ำแต้ม เพราะงดงามแปลกตา เนื่องจากเป็นอาคารไม้เปิดโล่ง อ่านดูจากป้ายบอกว่าเป็นอาคารไม้เปิดโล่งที่เก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าสามหมื่นทอง พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย สร้างโดยเจ้าหาญศรีทัตถะ มหาสุรมนตรี เจ้าผู้ครองนครลำปาง ประมาณปีพ.ศ. 2044 กลับออกมานอกกำแพงวัดอีกที ก็โพล้เพล้ รถเทียมม้าคอยให้บริการรับส่งผู้คน สมกับเป็น "เมืองรถม้า" ส่วนนกกาก็เตรียมบินกลับรัง และเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับไป แสงเรืองรองก็จะสาดส่องสถานที่แห่งนี้ให้โดดเด่นงดงาม ประหนึ่งวิมานบนแดนดิน ที่จะตราตรึงทุกสายตา และประทับไว้ในใจผู้ได้มาเยือน