"เมืองแป้" หรือที่รู้จักกันว่า "เมืองแพร่" จังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคเหนือ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องท่องเที่ยวเท่าใดนัก เป็นเมืองที่ความเจริญหากเทียบกับจังหวัดข้างเคียง ก็นับว่ายังช้ากว่ามาก แต่นั่นแหล่ะคือเสน่ห์ของเมืองนี้ที่ยากจะหาที่ไหนมาเหมือน ที่นี่เป็นเมืองที่ยังคงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้มากที่สุดเมืองหนึ่ง ทุกครั้งที่ได้ไปเยือน ก็รู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งอดีตยังไงอย่างนั้นเลยค่ะ เพื่อน ๆ สามารถอ่านเรื่องราวของเมืองแพร่ได้ที่ แพร่รีส...เมืองโตช้าที่น่ารัก แน่นอนว่าเมืองแห่งประวัติศาสตร์ ย่อมมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้เที่ยวชมและศึกษาแน่นอน บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปชม "คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่" สถานที่สำคัญที่ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดี เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ที่ตั้งตะหง่านอยู่กลางเมืองแพร่ ราวกับยังคงมีชีวิต.. คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ เป็นโบราณสถาณทรงคุณค่าอายุกว่าร้อยปี ที่อยู่ร่วมกับชาวแพร่เสมือนเป็นสิ่งปกปักรักษาเมืองแห่งนี้ ตัวเรือนเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป ในรูปทรงที่มักจะรู้จักหรือน่าจะเคยได้ยินกันว่า “ทรงขนมปังขิง” มีความง่างาม ตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลายที่แสนประณีต สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ เจ้าเมืองแพร่องค์สุดท้าย หรือที่ชาวเมืองแพร่เรียกกันว่า "เจ้าหลวง" ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับ ทรงงานราชการ รับแขก รวมไปถึงดำเนินกิจกรรมด้านการปกครองต่าง ๆ ภายในอาคารมีความโอ่อ่า หรูหรา จุดเด่นคือบานหน้าต่างฉลุลาย ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยแต่ละบานจะมีชื่อเรียกที่ต่างกันออกไป ซึ่งคนไทยในสมัยก่อนจะมีศิลปะในการตั้งชื่อเรียกสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างงดงาม คล้องจอง และมีความเป็นสิริมงคลภายในคุ้มเจ้าหลวง จะมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้ในพื้นที่ต่าง ๆ ของตัวอาคาร เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้แก่นักท่องเที่ยวที่สนใจ ซึ่งตามข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ ในอดีตกาลนานมา เมืองแพร่ถือเป็นหัวเมืองประเทศราชของสยาม ที่นี่จึงสามารถได้มีเจ้าเมืองปกครองตนเองได้ และนอกจากนี้ยังมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่จากเมืองหลวง ถูกส่งให้มาดูแลราชการที่นี่ด้วย ในปี พ.ศ. 2445 ได้เกิดกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ โดยชาวไทใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า ไทยเงี้ยว ที่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในเมืองแพร่ ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มกบฎและก่อการจราจลขึ้น ซึ่งครั้งนั้นมีผู้ไม่ประสงค์ดี ได้กล่าวหาเจ้าเมืองแพร่ว่าสมคบคิดกับกลุ่มกบฎ โดยเมื่อรัชกาลที่ 5 ได้ทราบความ จึงได้โปรดเกล้าให้ปราบกลุ่มกบฎจนราบคาบ แต่ก็ได้ถอดยศเจ้าเมืองแพร่และริบทรัพย์สมบัติทั้งหมด เจ้าหลวงเมืองแพร่ จึงได้หลบหนีไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองแพร่จึงไม่ใช่เมืองปกครองตนเองอีกต่อไป แต่ได้รวมเข้าเป็นหนึ่งเมืองของสยามประเทศ ภายในตัวคุ้ม ได้จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ในอดีตที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ราวกับคุ้มนี้ยังมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม ห้องอาหาร ห้องนอนของเจ้าหลวงและเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ที่น่าสนใจก็คือที่นี่มีคุกอยู่ใต้ถุน ไว้ขังและลงโทษผู้กระทำผิดมาไม่น้อยกว่า 50 ปี จนหมดระบบศักดินา โดยในบริเวณจุดหนึ่งของพื้นห้องครัวจะมีรูเล็ก ๆ ที่ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น รูแห่งนี้เมื่อเอานิ้วไปเกี่ยวจะสามารถดึงแผ่นไม้ขึ้นมา ทำให้มีช่องว่างกว้างพอจะหย่อนอาหารลงไปให้นักโทษที่อยู่คุกใต้ถุนได้ คุกใต้ดิน สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ค่ะ บรรยากาศจะค่อนข้างหลอนหน่อย (ก็คุกนี่เนอะ ฮ่า ๆ ) แอบกระซิบนะคะว่า ถ้าเป็นคนจิตไม่แข็ง ไม่แนะนำให้เข้าไปสักเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่สถานที่ที่น่ารื่นรมย์นัก แม้จะเพื่อศึกษาก็เถอะ ส่วนตัวเมื่อได้เหยียบย่างเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเศร้าสลด ความโศกเสียใจที่อบอวลอยู่ภายในห้องนั้น ข้างในคุกมีรูปและเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้ติดอยู่ด้วยค่ะ สามารถอ่านได้ในแง่การศึกษาประวัติศาสตร์ สารภาพว่าไม่ได้อ่านมากนัก เพราะความกลัว ฮ่า ๆ ๆ ทางเข้าคุกจะอยู่บริเวณประตูด้านข้างของคุ้ม ข้างในเป็นห้องที่มืดมาก ๆ มีแสงสว่างลอดเข้าไปได้เล็กน้อยเท่านั้น ที่นี่มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับในคุก จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเรื่องลึกลับของเมืองเหนือเลยล่ะค่ะ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็มีการขุดค้นพบโครงกระดูก และอุปกรณ์สำหรับทรมานนักโทษที่บริเวณคุกใต้ถุน ตามคำเล่าขานของบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เคยได้ยินมา ซึ่งก็ไม่รู้มูลความจริงแค่ไหนนะคะ ต่างก็เล่าว่า เหล่านักโทษและทาสที่ถูกคุมขังในที่แห่งนี้ ต่างกลายเป็นวิญญาณอาฆาตพยาบาทและไม่ยอมจากไปไหน ทำให้ผู้ว่าราชการหรือเจ้านายที่เคยมาพัก ณ ที่แห่งนี้ เจอเรื่องราวประหลาดต่าง ๆ จนมีการทำบุญครั้งใหญ่เมื่อปี 2528 และหลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนให้คุ้มเจ้าหลวงแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ เหลือไว้เพียงตำนานแห่งคุกทาส ไว้เล่าสู่ลูกหลานอีกหนึ่งตำนานของเมือง แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่านะคะ ถูกบิดเบือนมาปากต่อปาก ขึ้นอยู่กับวิจารณาญาณในการรับสารของแต่ละคน แม้จะมีเรื่องเล่าที่ไม่ชวนพิสมัยนัก แต่คุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์ของที่นี่ก็ยังคงเต็มเปี่ยม สำหรับใครที่รักในประวัติศาสตร์ และวิถีความงดงามของเมืองเล็ก ๆ ที่นี่เป็นอีก 1 Unseen Thailand ที่อยากจะแนะนำให้มาเยือนกันสักครั้งหากมีโอกาสค่ะ นอกจากนี้ จังหวัดแพร่ยังจัดรถรางนั่งชมเมือง สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวฟรีด้วยนะคะ รถรางจะพาชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในตัวเมืองแพร่กว่า 20 แห่ง เลยทีเดียวค่ะ อย่าลืมเช็คเวลารถรางด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดเที่ยวรถ โดยรถรางจะมีให้บริการเป็นรอบต่อวันค่ะ วันจันทร์-ศุกร์ รถออกเวลา 16.00 น ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ จะออกเวลา 10.00 น. 14.00 น. และ 16.00 น. ค่ะ เมืองแพร่ เป็นสถานที่ที่ถ้าใครอยากยล "มนต์เสน่ห์เมืองเหนือ" ก็อยากแนะนำว่าต้องหาโอกาสมาให้ได้สักครั้ง แล้วคุณจะหลงรัก "เมืองแป้" เมืองโตช้าแห่งนี้แน่นอน :) เรื่อง-ภาพ : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน) ข้อมูลติดต่อ (กรณีเข้าชมเพื่อการศึกษาเป็นหมู่คณะ) : สถานที่ตั้ง : 108 หมู่ 13 ถนนแพร่ - ลอง ตำบลป่าแมต อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ โทรศัพท์ : 0 5462 5496 โทรสาร : 0 5462 5873 Email : phrae@m-culture.go.th ค่าเข้าชม : ฟรี