เมืองอัมสเตอร์ดัม Amsterdam เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ The Natherlands ได้รับการยกย่องว่าเป็นเวนิสของยุโรปตอนเหนือ ระบบคูคลองรอบเมืองอัมสเตอร์ดัมเกิดจากการวางผังเมืองตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำ ขนส่ง และป้องกันเมือง พื้นที่คลองวงแหวน ภายในเมืองอัมสเตอร์ดัมนี้ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2010 (Seventeenth-Century Canal Ring Area of Amsterdam inside the Singelgracht) เราได้มีโอกาสไปเยือนเมืองอัมสเตอร์ดัมครั้งแรกในปี 2007 แต่เป็นการไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับโดยเดินทางจากเมือง Essen ในประเทศเยอรมนี เลยรู้สึกว่ายังไม่ได้เห็นเมืองอัมสเตอร์ดัมเต็มที่สักเท่าไร จนกระทั่งปี 2018 เรามีเวลาว่างช่วงต้นปี และมีวีซ่าเชงเก้นที่ยังมีวันเดินทางเหลือ เราเช็คโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินบ่อย ๆ เห็นว่าราคาตั๋วเครื่องบินที่จะไปลงที่อัมสเตอร์ดัมถูกกว่าหลาย ๆ เมืองในยุโรปมาก จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้กลับไปเยือนเมืองอัมสเตอ์ดัมอีกครั้ง ว่าแล้วเราก็จองตั๋วเครื่องบิน พร้อมกับวางแผนเที่ยวอัมสเตอร์ดัม โดยทริปนี้เราไปกับน้องสาวเราอีกคน มีเวลาเที่ยวทั้งหมด 10 วัน เราจึงเพิ่มประเทศเบลเยี่ยม และประเทศลักแซมเบิร์กเข้าไปด้วย เราเลือก Benelux Pass 4 วัน สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศทั้งสามนี้ การเดินทางในแต่ละประเทศเราจะไปซื้อตั๋วรถไฟที่เป็นตั๋ววันของแต่ละประเทศแยกต่างหาก ซึ่งในบทความนี้เราจะเล่าถึงตัวเมืองอัมสเตอร์ดัมค่ะ ถ้าใครเคยมาที่เมืองอัมสเตอร์ดัมจะทราบว่าเมืองนี้ส่งเสริมการเดินทางด้วยจักรยาน โดยทางการจัดให้มีทางสำหรับให้จักรยานวิ่งโดยเฉพาะบนถนนเส้นหลักของเมือง ซึ่งจะเป็นสีแดงเพื่อที่จะเห็นความแตกต่างจากทางเท้า ว่ากันว่าในเมืองอัมสเตอร์ดัมนี้มีจักรยานอยู่รวมกันเกือบหนึ่งล้านคัน และมีจุดจอดจักรยานตามสถานีรถไฟ และจุดต่าง ๆ รอบเมือง เป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุดในเมืองเล็ก ๆ ค่ะ และยังเป็นการช่วยลดมลพิษ ถ้าใครไม่อยากเดินจะใช้บริการรถราง (Tram) หรือเช่าจักรยานขี่เล่นในเมืองก็ได้ค่ะ หรือหากใครต้องการนั่งเรือเพื่อชมคูคลองที่อยู่รอบ ๆ ตัวเมืองก็จะมีบริการเรือนำเที่ยว แต่สำหรับเราแล้วเราชอบเดินค่ะ จากสถานีรถไฟกลางก็เดินทั่วเมืองโดยไม่ใช้บริการรถราง เมืองอัมสเตอร์ดัมเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของชาวยุโรปด้วยกัน รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวที่มาพักในเมืองนี้เกือบ ๆ ห้าล้านคน บวกกับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับอีกประมาณ 16 ล้านคน ที่พักในใจกลางเมืองอัมสเตอร์ดัม จะมีราคาแพงกว่าที่พักที่ออกไปนอกๆ เมืองมาก เราเลือกพักออกมานอกเมืองและเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ ซึ่งถือว่าสะดวกและประหยัดกว่ามาก Dam Square เป็นจัตุรัสกลางเมือง และเป็นจัตุรัสที่สำคัญของเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นที่ตั้งของพระราชวัง (Royal Palace) ที่สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เดิมทีสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาลาว่าการเมือง ต่อมาในสมัยของพระเจ้า Louis Bonaparte พระองค์ย้ายมาประทับที่เมืองอัมสเตอร์ดัม และ เปลี่ยนที่นี่เป็นที่พักของพระองค์ในปี 1808 Amsterdam Central Station เป็นสถานีรถไฟหลักของเมือง จัดว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ที่นี่เป็นศูนย์กลางการเดินทางทั้งรถไฟ รถบัส รถราง และเรือโดยสาร ที่พลาดไม่ได้หากมาอัมสเตอร์ดัมคือ Red Light District ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Dam Square ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอัมสเตอร์ดัม ที่มาของชื่อของย่านนี้ก็คือแสงไฟที่เป็นสีแดงที่ติดไว้ที่กระจกหน้าต่าง ในบริเวณนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าต่าง ๆ รวมถึงร้านขายของที่ละลึกด้วยค่ะ เมืองอัมสเตอร์ดัมมีพิพิธภัณฑ์อยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะรอบ ๆ จัตุรัสมิวเซียม (Museum Square) สำหรับผูที่ชื่นชอบงานศิลปะไม่ควรพลาด โดยเฉพาะภาพเขียนของศิลปินชื่อดัง อย่าง Vincent Willem van Gogh และ Rembrandt เราได้มีโอกาสเดินทางไปนอกเมืองอัมสเตอร์ดัม แบบไปเช้าเย็นกลับ เนื่องจากเราพักอยู่ที่อัมสเตอร์ดัมหลายวัน โดยเลือกเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เช่น หมู่บ้าน Zaanse Schans ที่เราไปสองวันติด ๆ กันเลย เพราะพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่สวยมาก และ เมือง Haarlem ซึ่งนั่งรถไฟไปประมาณ 15 นาทีจากเมืองอัมสเตอร์ดัม อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีหลายมุมน่ารัก ๆ ในแบบของตัวเอง ซึ่งเราว่าต่างจากเวนิสมาก การเดินทางในเมืองโดยใช้ขนส่งสาธารณะก็สะดวกมาก หรือจะไปในเมืองอื่นในประเทศเนเธอร์แลนด์ก็สะดวกและไม่แพง เพราะมีพาสต่าง ๆ ให้เลือกใช้งานตามพื้นที่ที่เราต้องการเดินทาง และตามจำนวนวันที่เราต้องการเดินทางได้ ที่สำคัญคือ 70-80% ของคนอัมสเตอร์ดัมหน้าตาดีมาก ดูเพลินเลยค่ะ ปิดท้ายกันด้วยกังหันสัญลักษณ์ซึ่งถือเป็นอย่างหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่หมู่บ้าน Zaanse Schans ค่ะ @ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน