เดินเท้าพิชิตยอดเขาฟานซิปัน ยอดเขาฟานซีปัน ตั้งอยู่ที่เมืองซาปา จังหวัดหล่าวกาย ในประเทศเวียดนาม มีความสูงอยู่ที่ 3,143 เมตร สูงที่สุดในอินโดจีน ฟานซีปันจึงเป็นยอดเขาสูงสุดแห่งเวียดนามและในภูมิภาคอินโดจีนจนได้รับการกล่าวขานว่า “ หลังคาแห่งอินโดจีน” บันทึกวันแรก : ตัดสินใจมาเดินเขา แบบไม่ google ไม่ศึกษาอากาศ ฤดูกาลใดใด เตรียมมาแค่ใจล้วนๆ ตื่นเช้ามาด้วยอากาศที่เย็นสุดขั้ว หมอกลงหนา มีฝนปรอยๆตลอดเวลา ไกด์ในทริปเริ่มลังเลว่าวันนี้จะสามารถเดินเขาได้หรือไม่ เพราะเส้นทางค่อนข้างอันตราย และสูงชันมาก แต่ด้วยความตั้งใจ และความชำนาญของไกด์ท้องที่ กรุ๊ปจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อไป โดยมีกระเป๋าแบคแพคหนึ่งใบ ซึ่งในตัวตอนนั้นไม่ได้ทำการค้นคว้าอะไรเลย ว่าจะต้องเตรียมตัวยังไง เอาอะไรไปบ้าง ออกเดินทางจากที่พักในตัวเมืองซาปา ด้วยข้าวเช้ามื้อง่าย ๆ เป็นเซทให้เลือกทาน ด้วยความที่เป็นคนกินข้าวตอนเช้ามากๆไม่ค่อยได้ เลยกัดขนมปังไปไม่กี่คำ โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่น คือความผิดพลาดครั้งมหันต์ของการเดินทางในทริปปีนเขานี้ รถตู้มารับพาเราเดินทางเข้าอุทยานฮวงเหลียนเซิน มีการแจกเสื้อกันฝน น้ำคนละ 2 ลิตร และทิชชู ด้วยความเป็นผู้หญิงขี้เกียจแบก เลยเอาไปแค่ 1 ลิตร ค่อยๆ ดื่ม ค่อยๆจิบ นี่คือความผิดพลาดมหันต์รอบที่สอง เส้นทางเดินแรก เป็นหิน ดิน ทราย โคลน ฝน มาหมดทุกอย่าง รวมทั้งอากาศหนาวชื้นแบบควันออกปาก ในใจคิด เอาแล้วไง เจอของจริงเข้าแล้ว ใจดี ยังยิ้มสู้ รายทาง เต็มไปด้วยความสดชื่น ความสวยงามของป่าดิบชื้น เขียวชะอุ่ม ดอกไม้ป่า แข่งกันออกมาเบ่งบานรับน้ำฝน เป็นโม้เม้นที่รู้สึกว่า กลับมาเติมออกซิเจนเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ ทุกการหายใจ เข้าออก คือเติมเต็มพลังมาก เส้นทางที่เดินเต็มไปด้วยรากไม้ ที่ไม่ได้มีการสัญจรไปมาบ่อย ๆ ทางทุกทาง เป็นทางป่า ทางธรรมชาติ 100% เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดิน ต้องคำนวณแล้วเล็งไว้ก่อนทุกก้าว เพื่อที่จะไม่พลาดหกล้ม บาดเจ็บไป อาหารในท้องอันน้อยนิดเริ่มย่อยไปใช้ อย่างรวดเร็ว พลังงานเริ่มหมด เดินทางมาช่วงสาย ๆ พักทานอาหารที่ camp 1 ไม่ว่ามื้อนี้จะเป็นอะไร เราจะยัดให้หมดไม่เหลือ มื้อเที่ยงของเราเป็นขนมปังเวียดนามไซส์ใหญ่ ไข่ มะเขือเทศ แตงกวา ส้ม เราเล็งไปที่ขนมปัง กับไข่ แหล่งพลังงานชั้นดี กินแบบกล้ำกลืนขืนคอ จิบน้ำที่เตรียมมาแบบเบาๆสำรวม พักนอนยืดแขนขาสักพัก แล้วออกเดินทางต่อ เพื่อที่จะไม่ไปถึงที่พักค่ำเกินไป ระหว่างทางนั้นที่เดิน ทั้งทางปีน ทางโหน ทางริมเขา ทางเกาะเกี่ยวโหนเถาวัลย์มาหมด เหมือนอยู่ในเกมส์ที่ต้องผ่านด่านไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีชีวิตสำรอง สัตว์น้อยใหญ่ก็ออกมาต้อนรับ นก กระรอก แพะภูเขา แต่ภาพที่เห็นเมื่อปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ คือ ผืนป่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สวยงามจนแทบหยุดหายใจ การหลบจากชีวิตเมือง มายืนตรงที่นี้คุ้มค่ามากจริง ๆ ธรรมชาติบำบัด มาวันนี้เข้าใจคำนี้ชัดเจน ตกเย็นมาถึงที่พัก camp2 ไม่มีไฟ มีน้ำตกไหลข้างบ้าน ล้างหน้าไม่ต้องฝนล้างมาตลอดทาง กินข้าวเย็น ต้มผักไก่ผัดง่าย ๆ แต่ในเวลานั้น คืออาหารโอชะจากภัตตาคารหรู ทุกคนทานแบบไม่มีคุย ไม่มีหยุด ไม่มีบ่น อร่อยอิ่มท้องเข้านอนในเวลา 6 โมงเย็น ในป่าที่เงียบสงบ คงได้ยินแค่เสียงฝน และลมพัดผ่านใบไม้ บันทึกวันที่สอง : ตื่นเช้ามาด้วยกลิ่นอาหารสุดหอมพร้อมเสิร์ฟจากไกด์ท้องที่ จำได้ว่าเป็นต้มมาม่าใส่ไข่ กับผัก จังหวะนั้นคว้าถ้วยมากินหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ฝนโปรยปรายยามเช้าแตะลงที่หน้าเป็นสัญญาณว่า ถึงเวลาออกเดินทาง เส้นทางยังคงชวนน่าตื่นเต้น อย่างต่อเนื่อง จนต้องอุทานออกมาเป็นระยะ แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นทางปีนเขาจริง. กระเป๋าที่แบกอยู่หลังหนักเหมือนหินในวันแรก ในวันนี้น้ำหนักดูเหมือนประสานรวมกับร่างกายเป็นหนึ่ง เดินได้อย่างสบาย และว่องไว เราพักตามเนินเขา สูดอากาศชมวิวเป็นระยะ ๆ เสียงลมพัด หมอกเย็นปะทะหน้า ก้อนเมฆลอยผ่านหุบเขาตรงที่เรานั่งพักอยู่ ฝนโปรยปรายผ่านยอดไม้เขียวขจี ดอกไม้ป่าบานรับฝน วิวป่าสนสุดสายตาที่เบื้องล่าง ความเหนื่อยล้าหายไปปลิดทิ้ง ยอดเขาฟานซิปัน ในที่สุดเราก็พิชิตมาได้แบบไม่ทันตั้งตัว มองขึ้นไปบนยอดเขาสวยงามเด่นตระหง่าน มองลงมาข้างล่าง ธรรมชาติโอบล้อมเขียวขจี จังหวะนั้น กระเช้าค่อยเลื่อนๆขึ้นมาพ้นยอดเขา พร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวในสภาพสบายกายใจ แต่ถึงยังไง เราก็ยังยืนยันว่าจุดหมายของการมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพียงแค่ได้มายืนเหยียบบนยอดเขา หากแต่ทุกระยะทาง และเวลาที่ใช้ในการเดินเขาขึ้นมา ให้พลัง ความสวยงามของธรรมชาติ ที่คุ้มค่ามากกว่าแน่นอน ถ้าเลือกได้อีกครั้ง ก็จะยังขอปีนขึ้นไป “ยอดเขาฟานซิปัน” หลังคาแห่งอินโดจีน ภาพปกจาก : pixabay.com ภาพประกอบที่ 1-16 : ถ่ายโดยนักเขียน