5 มุมชิล ๆ น่าเที่ยวในเบลเยี่ยม : A little trip in Belgium ถึงแม้ในช่วงนี้อาจจะตีตั๋วบินไปเที่ยวต่างประเทศกันค่อนข้างลำบาก วันนี้ก็เลยอยากจะเอารูปมุมสวยๆ จากประเทศเบลเยี่ยมมาอัพเดตและแนะนำทริปเล็กๆ ให้กับคนที่ยังมีแพทชั่นอยากแพคกระเป๋าไปเที่ยวที่ไกลๆ หลังโควิดกันค่ะ ถ้าพูดถึงประเทศเบลเยี่ยม ทุกคนอาจจะนึกถึงแค่ช็อกโกแลตที่อร่อยที่สุด แต่ที่นี่ยังมีสเน่ห์อีกมากมายที่น่าสนใจในรูปแบบของสถานที่ท่องเที่ยว และมุมต่างๆของบรรดาเมืองรอบนอกที่ไม่ใช่แค่เมืองหลวงอย่างกรุง Brussels งั้นเรามาทำความรู้จักเมืองน่ารักๆ อย่างเมือง Antwerpen กันค่ะ Antwerpen เป็นเมืองสงบเรียบง่าย ไม่พลุกพล่าน ผู้คนชิลๆ และมีความเป็นมิตรสูงมากกับชาวเอเชีย จนระยะหลังๆนักท่องเที่ยวจากหลายๆประเทศก็ต่างมาปักหมุดกันที่เมืองนี้กันไม่น้อย ด้วยความเป็นเมืองขนาดกลาง ที่ยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้เร่งเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจเหมือนเมืองใหญ่ๆ ที่นี่เลยเต็มไปด้วยการผสมผสานทั้งกลิ่นอายศิลปะวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมยุโรปในยุคโบราณ และแหล่งช้อปปิ้งมากมายได้อย่างลงตัว งั้นเรามาเริ่มลุยกันที่มุมเล็กๆ มุมแรกที่ควรปักหมุดเช็คอิน.. ถ้าไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึงเบลเยี่ยมกันก่อนนะคะ 1. Grote Markt Grote Markt หรือในความหมายภาษาอังกฤษแปลว่า Great Place เป็นเสมือน จัตุรัสกลางเมือง ที่สำคัญและเก่าแก่ของเมือง Antwerpen เดิมเป็นที่ดินที่ Duke Henry I แห่ง Branant ได้บริจาคให้กับชุมชน เพื่อใช้เป็นการก่อสร้างเป็นศาลาว่าการ โดยอาคารศาลาว่าการทั้งหมดได้ถูกสร้างขึ้นในปี คศ. 1561-1564 เป็นสไตล์เรอเนสซองที่มีอิทธิพลมาจากอิตาลี ส่วนบนของหน้าอาคารเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมเฟลมิชจากทศวรรษที่ 16 ออกแบบโดยสถาปนิก Corneelis II Floris de Vriendt จุดมุ่งหมายเพื่อจะใช้เป็นศาลาว่าการที่ร่วมกับอาสนวิหาร Onze Lieve Vrouw ของเมือง Antwerpen ตึก Grote Markt ทำให้สัมผัสถึงความขลังและความอลังการจริงๆ มันน่าทึ่งมากกับความสามารถในการสร้างสถาปัตยกรรมของผู้คนสมัยนั้น ความงดงามสวยจับใจจนรู้สึกเสียดายที่ได้รู้ว่ามีบางส่วนเคยถูกทำลายโดยกองไฟที่ก่อขึ้นโดยทหารสเปนที่ก่อจลาจลในปี คศ.1576 ถ้าใครเป็นสายงานอาร์ต สายศิลปะ ไม่ควรพลาดมาเที่ยวมุมนี้จริงๆ.. รับรองว่าสวยงามคุ้มค่ากับการบินมาไกลแน่นอน 2. Vrijdagmarkt Vrijdagmarkt ในตัวเมือง Antwerpen เป็นตลาดประมูลสินค้ามือสอง สไตล์วินเทจที่อยู่ใกล้ๆกับ Museum Plantin-Moretus สถานที่ของตลาดคือส่วนกลางของจัตุรัสลานกว้าง มีการจัดประมูลขายของกันทุกเช้าวันศุกร์ มีประมูลกันแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในครัวเรือนมากมาย จนถึงต้นไม้และดอกไม้.. จนบางครั้งก็มีต้นไม้ให้มาประมูลขายมากมายยังกะร้านต้นไม้มาขายซะเองเลย 55555 ความสนุกในการมาตลาดที่นี่ก็คือ คุณอาจประมูลได้ของที่ราคาแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ และอาจจะเจอของเก่าที่มีมูลค่าจนน่าตกใจทีเดียว และความชิคของตลาดที่นี่ก็ต้องยกให้กับพื้นที่หน้าร้านกาแฟและร้านอาหารต่างๆที่ล้อมรอบตลาด Vrijdagmarkt เอาไว้ ทุกร้านในบริเวณนี้จะจัดโต๊ะเก้าอี้ตัวเล็กๆออกมาให้ลูกค้ามานั่งหน้าร้าน ให้ลูกค้าได้นั่งจิบกาแฟทานแซนวิช หรือดื่มช็อคโกแลตอุ่นๆ แล้วได้นั่งมองบรรยากาศของตลาดยามเช้าของที่นี่ไปด้วย.. คือถ้าใครที่ไม่ได้อินกับการมาหาซื้อสินค้าวิทเทจที่ Vrijdagmarkt ก็สามารถมานั่งเอนจอยกับกาแฟยามเช้าที่มีชิลๆแบบ Open air แบบนี้ก็ได้นะคะ 3. De meir De meir เป็นถนนที่อาจทำให้สายช้อปปิ้งตาลุกวาว เพราะ De meir เป็นถนนหลักที่มีตึกและอาคารภายนอก ยังคีพสถาปัตยกรรมสไตล์ rococo เอาไว้แต่อาคารภายในได้ทำเป็นร้านค้า สำหรับช้อปปิ้งที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ โดยจะเป็นถนนคนเดินขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 1993 โดยถนนเส้นนี้สามารถเชื่อมต่อทางไป Grote Markt ได้ด้วย De meir มาจากภาษาดัตช์โบราณ " Meir " ที่มีแปลว่า ทะเลสาบ เดิมทีตึกเหล่านี้เป็น Royal residence ที่สร้างขึ้นในปี 1745 นับตั้งแต่ปี 2002 De meir ถือได้ว่าเป็นถนนช้อปปิ้งที่มีราคาแพงที่สุดไปถึงประมาณ 1,700 ยูโร/ตรม./ปี นับตั้งแต่เปิดศูนย์การค้า Stadsfeestzaal ถนนเส้นทางนี้ถือว่าเป็นถนนที่ทำให้สายช้อปทั้งหลายมีชีวิตชีวา เพราะเหมือนเป็นที่รวมตัวของร้านค้าแบรนด์ดังๆและเหล่าวัยรุ่นได้ที่นี่.. หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นซอยละลายทรัพย์ของคนเบลเยี่ยมเลยก็ว่าได้ 4. The Antwerp ferris wheel The Antwerp ferris wheel เป็นชิงช้าสวรรค์อันโด่งดังของ Antwerpen ที่ตั้งอยู่ใกล้ Steenplein (Stone Square) ริมฝั่งท่าเรือแม่น้ำ Scheldt ทุกคนสามารถขึ้นชิงช้าสวรรค์เสพทิวทัศน์ด้วยมุม bird eye view ได้ไกลสุดลูกหูลูกตาจริงๆ.. แต่สนนราคาก็คุ้มค่ากับความสูงที่ขึ้นไปอยู่เหมือนกันค่ะ ถือได้ว่าเป็นท่าเรือที่เก๋ไก๋ไม่ธรรมดาเลย มีความครีเอทที่จะหาจุดไฮไลท์นำตัวชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่มาตั้งเชื่อมต่อกับท่าเรือ ทำให้เป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นมากๆ แถมช่วงกลางคืนยังมีเปิดไฟส่องสว่างจากตัวชิงช้าทำให้บรรยากาศโรแมนติกขึ้นไปอีก 5. Het Steen แล้วก็มาถึงมุมด้านประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ ที่อยากให้ทุกคนได้มาเที่ยวก็คือ Het Steen ที่นี่เป็นป้อมปราการเก่าแก่ในเมือง Antwerpen ที่เคยเป็นทั้งท่าเรือเก่า และเป็นที่คุมขังเชลยในอดีตระหว่างปี 1303 จนถึงปี 1827 ภายในอาคารยังคงมีสถาปัตยกรรมที่หาชมได้ยากอยู่อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่าในบางส่วนของอาคารที่เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดของเมือง ที่เคยเชื่อมติดกับป้อมปราการได้ถูกทำลายลงในศตวรรษที่ 19 ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่าเสียดาย ปัจจุบันที่ Het Steen ได้บูรณะและต่อเติมให้เป็นศูนย์บริการและต้อนรับนักท่องเที่ยวของเมือง Antwerpen ส่วนต่อเติมได้เชื่อมต่อกับป้อมปราการทำเป็นอาคาร 3 ชั้น แบ่งออกเป็นส่วนจัดแกลลอรี่ ห้องสัมมนาจัดเลี้ยง ที่ขายของที่ระลึก และชั้นดาดฟ้าเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นแม่น้ำ Scheldt เกือบทั้งสาย.. เหมาะมากสำหรับการเดินเล่นชมวิว มี Canteen รองรับการนั่งทานแซนวิชกาแฟยามบ่ายได้ด้วย ในวันอากาศดีๆ ชั้นดาดฟ้าถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย ลมเย็นๆกับวิวแม่น้ำที่มองเห็น Landscape ของเมืองจากมุมสูง เหมาะมากสำหรับมนุษย์สายชัตเตอร์ ที่จะแบกกล้องขึ้นไปหามุมเจ๋งๆแล้วโพสท่าคูลๆเอาไว้อวดในโซเชียล ส่วนทางเข้า Het Steen มีประติมากรรมรูปปั้นตัวโตๆที่ตั้งอยู่หน้าป้อมปราการ Het Steen เรามาทำความรู้จักเจ้ารูปปั้นร่างยักษ์ตัวนี้กันค่ะ Lange Wapper Lange Wapper เป็นชื่อรูปปั้นผู้ชายร่างยักษ์ ที่ยืนจังก้าอยู่เหนือรูปปั้นไซส์มนุษย์ปกติ 2ร่างที่ยืนเงยหน้ามองอย่างตกใจ โดยรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ชุดนี้ ถูกสร้างขึ้นจากประติมากรชาว Antwerpen ที่มีชื่อว่า Albert Poets ในปี 1962 Lange Wapper เป็นยักษ์จอมขี้เล่นในตำนานของประเทศเบลเยี่ยม จนชาวบ้านสมญานามให้มันว่า " เจ้ายักษ์ผู้ทรมาน" เพราะมันมีนิสัยชอบแกล้งหลอกผู้คนตามท้องถนนในยามค่ำคืน มันจะคอยปรากฏตัวและไล่ต้อนคนเมาและผู้คนให้กลับเข้าบ้าน ในปัจจุบันเจ้ายักษ์ผู้ทรมาน Lange Wapper ยังคงทำหน้าที่ยืนคอยต้อนรับผู้คนและนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกสู่เมือง Antwerpen ที่ประเทศเบลเยี่ยมนะคะ Writer : Mrs. Smurfette Credit : ภาพประกอบโดยผู้เขียนทั้งหมด กำลังหาที่เที่ยวหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !