พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ ณ อาคารมนุษยนาควิทยาทาน รวบรวมพระประวัติ พระเกียรติคุณ ผลงาน อัฐบริขาร และสิ่งของเครื่องใช้ของเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษา การพระศาสนา และการปกครองของคณะสงฆ์ตลอดถึงคุณูปการที่คณะสงฆ์มีต่อชาติบ้านเมืองเมื่อเข้ามาในอาคารพิพิธภัณฑ์จะพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ มีเก้าอี้ยาวตั้งเป็นแถว ราวกับอยู่ในโบสถ์คริสต์หลังจากเดินชมห้องโถงเรียบร้อย ให้เดินขึ้นไปชั้น 2 โดยชั้นนี้จะแบ่งเป็นทั้งหมด 7 ห้อง ตามจำนวนอดีตเจ้าอาวาสของวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีลำดับดังนี้ลำดับที่ 1 : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2367 ได้รับพระนามฉายาว่า “วชิรญาโณ” แปลว่า ผู้มีญาณ คือปัญญาประดุจพร ในขณะเสด็จครองวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงฟื้นฟู้วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ทรงส่งเสริมพระภิกษุสามเณรให้ศึกษาพระปริยัติธรรม พร้อมทั้งทรงแนะนำสั่งสอนให้ศิษยานุศิษย์เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระ หรือการปฏิบัติกรรมฐาน จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายมายยังปัจจุบัน นอกจากนั้นยังทรงประดิษฐ์ปักขคณนาวิธี ปฏิทินสำหรับใช้ในการประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์อีกด้วยลำดับที่ 2 : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2372 มีพระนามฉายาว่า “ปญฺญาอคฺโค” สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงสนพระทัยด้านโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงได้ตำราโบราณเรื่องการหล่อพระกริ่ง ทรงพระดำริให้สร้างพระกริ่งขึ้นเพื่อรักษาศิลปะแขนงนี้ไว้เรียกว่า “พระกริ่งปวเวศ” อีกทั้งยังทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของยุด “บัญชีดาวหาง” คือผลงานด้านดาราศาสตร์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ภายหลังในปี พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ห้ว ทางถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ลำดับที่ 3 : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2422 มีพระนามฉายาว่า “มนุสฺสนาโค” และได้รับถวายมหาสมณุตมาภิเษกเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2453 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาในประเทศไทย โดยมีวัดเป็นโรงเรียน มีพระเป็นครูสอน มีมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นต้นแบบในด้านหลักสูตรและการฝึกหัดครู อีกทั้งทรงเป็นผู้นำในการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ จนเกิดพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ.2445) ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทยลำดับที่ 4 : สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2435 มีพระนามฉายาว่า “สุจิตฺโต” และได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเป็นผู้ก่อตั้งสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของประเทศไทย และทรงเป็นพระมหาเถระไทยพระองค์แรกที่ได้รับการถวายตำแหน่ง “อภิธชมหารัฐคุรุ” อันเป็นสมณศักดิ์สูงสุดของสหภาพพม่าลำดับที่ 5 : พระพรหมมุนี (สุวโจ ผิน ธรรมประทีป)ครองวัดบวรนิเวศวิหารระหว่าง พ.ศ. 2501 - 2504 แม้จะมีเวลาในการครองวัดไม่นาน แต่ท่านก็ได้ปฏิบัติภาระหน้าที่ต่างๆ อันเป็นคุณประโยชน์แก่พระอารามมาตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และยังเป็นผู้ริเริ่มในกิจการหลายอย่าง อทิเช่น เป็นผู้ร่วมคณะก่อตั้ง พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ริเริ่มการสอนกรรมฐานแก่ประชาชนทั่วไป และเป็นผู้ริเริ่มให้จัดพิมพ์พระธรรมเทศนาเป็นคัมภีร์ไทย โดยใช้กระดาษแทนใบลาน เป็นต้นลำดับที่ 6 : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ ทรงนิพนธ์ตำรับตำราพระธรรมเทศนา ธรรมนิพนธ์ ศาสนคดี และพระโอวาท ไว้มายมากทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งได้ดำเนินการให้แปลพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาเป็นภาษาไทย เรียกว่า "พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย" และดำเนินการให้แปลตำราทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างประเทศที่ต้องการศึกษาพระพุทธศาสนา อีกทั้งทรงเป็นผู้ริเริ่มงานพระธรรมทูตในต่างประเทศ เป็นหตุให้เกิดวัดไทยในประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังทรงเป็นพระเถระไทยรูปที่ 2 ที่ได้รับถวายตำแหน่ง “อภิธชมหารัฏฐคุรุ” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์สูงสุดของพม่า และในที่ประชุมสุดยอดพุทธศาสนิกแห่งโลก ครั้งที่ 5 ได้มีมติถวายตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุดแห่งโลกพระพุทธศาสนา” แด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช อีกด้วยและอดีตเจ้าอาวาสของวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ 7 สมเด็จพระวันรัต เนื่องด้วยวันที่เราเข้าชม ห้องที่ 7 ซึ่งเป็นห้องที่รวบรวม พระประวัติ พระเกียรติคุณ และผลงาน ของสมเด็จพระวันรัต อยู่ระหว่างการซ่อมแซม จึงได้เข้าชมเพียงแค่ 6 ห้องเท่านั้นในส่วนของข้อมูลเหล่านี้ เราได้ทำการสรุปย่อมาให้ แนะนำให้เข้าเยี่ยมชมที่ พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยตนเองจะดีกว่า เพราะที่พิพิธภัณฑ์จะมีอาจารย์คอยมาบรรยาย และตอบคำถามในข้อสงสัยต่างๆ ไม่เบื่อแน่นอน 📱 : พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร⏰ : วันเสาร์ และ วันอาทิตย์ เวลา 09.00 - 15.00 น.💸 : เข้าชมฟรี🗺️ : พิกัดพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร🚗 : สามารถจอดรถได้ที่ อาคารรับฝากรถ กทม.ภาพถ่ายและปรับแต่งภาพโดย SasisDiary ผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !