วันนี้ผู้เขียนจะพาทุกคนแบกเป้ตามไปเที่ยวทิพย์ที่ ภูกระดึง จ.เลย กันค่ะ ถ้าหากพูดถึง ภูกระดึง หลายๆคนคงรู้จักเป็นอย่างดี อาจจะเป็นหนึ่งในเส้นทางเริ่มต้นของความชื่นชอบในการเดินป่าของใครหลายๆคน และก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการหันหลังให้กับการเดินป่าของใครหลายๆคนด้วยเช่นกัน ผู้เขียนเดินทางไปภูกระดึงครั้งนี้เป็นครั้งที่สองนะคะ ครั้งแรกเมื่อ7 ปีก่อนไปกับกลุ่มอาสาพิทักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยเพื่อนๆอีก 3 คน แต่ครั้งนี้ผู้เขียนจะพาทุกคนไปฉายเดี่ยวบนภูกระดึงกันค่ะ หลายๆคนพูดว่า สวรรค์บนภู มีจริง สวรรค์บนภู เป็นอย่างไร ผู้เขียนจะพาทุกคนไปสัมผัสกันค่ะ เมื่อทุกคนพร้อม แบกเป้ขึ้นหลังแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเลย ครั้งนี้ผู้เขียนจองรถทัวร์ของ บขส. 999 รอบ 21.30 คนเต็มรถตั้งแต่ กทม. อาจเพราะเป็นช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะปลายเดือนธันวาคมอย่างนี้ รถทัวร์ล้อหมุนตามเวลาค่ะ แจ้งพนักงานดูแลบนรถ ว่าลง ผานกเค้า เรียบร้อย ก็ล้มตัวลงนอน ตีตั๋วนอนยาวๆได้เลยค่ะ ถึงผานกเค้าเกือบๆ 6 โมงเช้า รถทัวร์จะจอดฝั่งตรงข้าม ร้านเจ๊กิม จุดรวมพลของเหล่านักท่องเที่ยวนั้นเองค่ะ สามารถแวะดื่มกาแฟ ทานอาหารเช้า ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน รวมถึงอาบน้ำได้ที่นี่ หลังจากนั้นก็ออกมานั่งรอต่อคิวขึ้นรถสองแถวไปยังที่ทำการอุทยานฯกันค่ะ เมื่อมาถึงที่ทำการอุทยานฯก็ติดต่อทำเรื่องต่างๆ จ่ายค่าเข้าอุทยาน ซื้อประกัน ฝากของ หลังจากนั้นค่อยนำกระเป๋าสัมภาระไปฝากลูกหาบ (คิดราคาตามน้ำหนักกระเป๋านะคะ) เรียบร้อยก็มาลงชื่อ เช็คคนเข้า-ออก ที่ด้านหน้าทางเข้า ก่อนออกเดินทางขึ้นภูค่ะ การเดินทางครั้งนี้ ผู้เขียนตั้งใจจะดื่มด่ำบรรยากาศสองข้างทาง เดินสบายๆไปเรื่อยๆ ไม่เก็บสถิติเหมือนครั้งก่อน พักกินน้ำแข็งไส แวะชิมแตงโม ไปให้ครบทุกซำ แตงโมที่เขาว่ายิ่งสูง ยิ่งหวาน ยิ่งกรอบและยิ่งอร่อย ตลอดเส้นทางก็จะเจอกับเหล่านักท่องเที่ยว ที่มีทั้งมาเป็นกลุ่มเพื่อนๆ กลุ่มครอบครัว กลุ่มนักถ่ายภาพ และนักท่องเที่ยวผู้ฉายเดี่ยวเฉกเช่นดังผู้เขียน และที่ขาดไม่ได้คือ การพบปะพี่ๆลูกหาบ ที่หาบของยังไงให้เหมือนเดินตัวเปล่า เช่นนักท่องเที่ยวอย่างผู้เขียน ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คำพูดนี้คงจะจริง กำลังใจถูกส่งมาตลอดเส้นทาง หากผ่านซำแฮกไปได้ (ซำแฮกเป็นซำแรก และเป็นซำที่ใช้เวลาในการเดินนานกว่าซำอื่นๆ) หนทางข้างหน้าก็ไม่ยากเกินเอื้อมค่ะ หากไม่ถอดใจถอยหลังกลับไปเสียก่อน เดินผ่านซำต่างๆ ซำแล้วซำเล่า ผ่านป่าไผ่โล่งๆ ป่าเขียวทึบๆ และหากผ่านขั้นบันไดช่วงสุดท้ายไปได้ ก็จะเจอกับหลังแป หลังแปคือเป้าหมายรองสุดท้าย เป็นจุดพัก จุดเช็คอินของเหล่านักท่องเที่ยว ที่หลังแป จะมีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนข้อความ ครั้งหนึ่งในชีวิต เราเคยพิชิตภูกระดึง ให้ได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก และยังมีต้นเมเปิล(เจ้าบ้านคนสำคัญของพวกเรา) ที่ใครมาช่วงนี้ต้องแวะเวียนไปทักทาย โชคดีที่ช่วงที่ผู้เขียนเดินทางไปใบเมเปิลกำลังแดงอวดโฉมเลยค่ะ นักท่องเที่ยวต่างก็หามุมสวยๆเพื่อเก็บภาพ หลังจากพักจนหายเหนื่อย ก็ออกเดินทางต่อไปยังที่ทำการฯ จากหลังแปไปที่ทำการฯ เป็นทางราบระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร เดินสบายๆค่ะ และไม่ลืมที่จะถ่ายภาพคู่เจ้าต้นไม้ ผู้โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย (ภาพจำของใครหลายๆคน) แผนการใช้ชีวิตบนภูกระดึง 3 วัน 2 คืน วันแรก เหนื่อยใครว่าเหนื่อย เมื่อยใครว่าเมื่อย เราเดินไปเรื่อยๆ เราทั้งเมื่อยเราทั้งเหนื่อย เดินไม่นานก็มาถึงที่ทำการฯ ก็เดินตรงไปที่ร้านพี่ธรรม ผู้เขียนจองเต็นท์กับทางร้านพี่ธรรมไว้ค่ะ เนื่องจากเต็นท์ของทางอุทยานเต็ม พี่ธรรมและแฟนน่ารักมาก ด้วยเห็นผู้เขียนมาคนเดียว ลดแลกแจกแถม ราคาเหมาทุกอย่าง ขอบคุณพี่ๆนะคะ หลังจากได้เต็นท์ เก็บของเรียบร้อย พักเก็บแรงนิดหน่อยก็ออกเดินเท้าไปเก็บพระอาทิตย์ตกที่ ผาหมากดูก ขาไปเดินชิลล์สบายๆ ขากลับสวมวิญญาณเป็นนักกีฬากันทีเดียว ทั้งวิ่ง ทั้งเดินสับขามาราธอน บางช่วงมีผู้คนก็สบายใจ บางช่วงโดดเดี่ยวมีกันแค่สองคน ก็ชวนใจโหวงๆไปบ้าง (ผู้เขียนไปเจอเพื่อนร่วมเดินทางข้างบน เดินกับน้องผู้หญิงอีกคนค่ะ) หลังจากใช้พลังงานในการเป็นนักกีฬา ก็มาสวมวิญญาณเป็นซอมบี้กันค่ะ การอาบน้ำบนภูกระดึงในช่วงดึกของเดือนธันวาคม ถือว่า เป็นความท้าทายและเป็นการทดสอบกำลังใจที่ดีทีเดียวค่ะ อาบน้ำขันแรกเขาว่าหนาวที่สุดให้เททิ้งไป คงเป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดซินะ ได้แต่ร้องและปลอบตัวเองในใจ รีบๆอาบ หมูกระทะรอคุณอยู่ ซึ่งก่อนตัดสินใจไปอาบน้ำผู้เขียนได้เดินไปสั่งหมูกระทะที่ร้านพี่ธรรมไว้เรียบร้อยค่ะ วางแผนเอาน้ำซุปร้อนๆดับความหนาวเย็น หลังจากดื่มด่ำกับหมูกระทะเป็นของคาวและนมร้อนเป็นของหวาน ก็ได้เวลาเข้านอน พรุ่งนี้มีนัดตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้าค่ะ วันที่สอง มูฟออนเป็นวงกลม ใครไหวไปก่อน (ตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น เดินตามเส้นทางน้ำตกไปเก็บเมเปิลแดง ไปเก็บพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก) เช้านี้ตั้งนาฬิกาปลุกตื่นตี 4.30 ล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อยก็ออกเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยัง ผานกแอ่น ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว บางคนอุปกรณ์พร้อม บางคนมาทั้งชุดนอนพร้อมผ้าห่ม บางคนมาแบบไร้ซึ่งวิญญาณ เดินบางลอยบาง เรียกรอยยิ้มจากผู้คนที่เดินผ่านไปได้ ผานกแอ่น ในยามนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน รอไม่นานพระอาทิตย์ก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาอวดโฉมให้ทุกคนได้ชื่นชม หลังจากดื่มด่ำกับแสงแรกของวันเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับเต็นท์ ไปเติมคาเฟอีนและโปรตีนเข้าร่างกาย ก่อนเตรียมเก็บกระเป๋าออกสำรวจภูกระดึงและชื่นชมความสวยงามของใบเมเปิล ใบเมเปิลสีแดงตัดกับสีเขียวของใบไม้และตะไคร่น้ำ ลอยบนสายน้ำสีเข้ม มันช่างดึงดูดชวนมองจริงๆ โดยผู้เขียนเริ่มเดินจากด้านหลังอุทยาน เก็บตามเส้นทางน้ำตกไปเรื่อยๆ ไปพักทานกลางวันที่สระอโนดาต หลังจากพักทานกลางวันและนอนเก็บแรงนิดหน่อย ก็เดินเท้าต่อ เพื่อไปรอเก็บแสงสุดท้ายที่ ผาหล่มสัก จุดหมายปลายทางสุดท้ายของใครหลายๆคน เมื่อมาถึงผาหล่มสัก ก็ไม่ลืมแวะไปชิมบราวนี่เจ้าดังแห่งภูกระดึง ผู้เขียนจองไว้เรียบร้อย จำนวน 2 ชิ้นค่ะ เม้ามอยกับพี่นกเจ้าของร้านที่กำลังง่วนกับการทำกาแฟสักพัก ก็ต้องบอกลา เพราะคนเยอะมาก พี่นกทำไม่ทันจริงๆ พระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ครั้งนี้ผู้เขียนเพียงแค่ยืนมองและทักทายเจ้าพระอาทิตย์ดวงโต ไม่ได้ขึ้นไปถ่ายในมุมมหาชนนะคะ ก่อนเตรียมตัวเดินกลับที่ทำการฯ ก่อนที่จะมืดเสียก่อน ขากลับไม่น่ากลัวค่ะ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างก็เดินกลับพร้อมๆกัน เดินไปด้วยกัน มีเพื่อนเดินตลอดเส้นทางค่ะ เมื่อกลับถึงที่ทำการอุทยานฯ ภาพเหตุการณ์ก็ซ้ำเดิม ต้องไปเทน้ำขันแรกทิ้งอีกรอบซินะและก็มาซดน้ำซุปร้อนๆจากหมูกระทะเช่นคืนที่ผ่านมา แต่คืนนี้หลังจากหนังท้องตึง ผู้เขียนก็ขอไปเดินสำรวจถนนคนเดินบนภูกระดึงกันหน่อย เป้าหมายสุดท้ายของคืนนี้คือ ส่งโปสการ์ด ข้างบนมีร้านขายโปสการ์ดที่สามารถติดแสตมป์ส่งได้เลยค่ะ ผู้เขียนก็อาจจะเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวหลายๆคนที่มาถึงภูกระดึง ก็ขอเขียนโปสการ์ดส่งไปให้ตัวเอง เขียนชื่นชมตัวเองที่สามารถรอดและปลอดภัยมาจนถึงวันเขียนโปสการ์ด หลังจากช้อปปิ้งเรียบร้อยก็กลับเต็นท์ เตรียมเข้านอน พรุ่งนี้ต้องรีบลงภูแต่เช้า เพื่อเดินทางไปเชียงคานต่อค่ะ วันที่สาม ลงภู ต่อรถไปพักร่างที่เชียงคาน หลังจากตื่น เก็บของ ล้างหน้าแปรงฟัน (อาบน้ำหรือเปล่า ผู้เขียนก็จำไม่ได้) รีบเอากระเป๋าไปฝากลูกหาบ ซึ่งจริงๆได้คิวที่สอง แต่ด้วยความผิดพลาดของลูกหาบทำให้ได้กระเป๋าล่าช้าค่ะ ผู้เขียนเริ่มออกเดินลงภูตั้งแต่แปดโมงเช้า ถึงด้านล่างประมาณ 10.30 น. แต่ได้รับกระเป๋าเกือบๆบ่ายสอง มีนักท่องเที่ยวคู่รักคู่หนึ่งที่ประสบชะตาเดียวกันนั้นหนักหนากว่าเพราะพี่ๆต้องรีบไปขึ้นรถกลับกรุงเทพตอนบ่ายสอง ซึ่งพอได้กระเป๋าก็วิ่งไปเหมารถแดงไปร้านเจ๊กิมทันที ผู้เขียนติดรถพี่ๆมาด้วยนะคะเพราะต้องไปเชียงคานต่อ โชคดีมากๆที่พี่ๆมาทันรถทัวร์กลับเข้ากทม. ได้ทันเวลา ส่วนผู้เขียนได้รถรอบ 14.45 น.ไปเชียงคานค่ะ (สามารถซื้อตั๋วรถไปเชียงคานที่ข้างๆร้านเจ๊กิมได้เลยค่ะ) ภูกระดึง สำหรับผู้เขียนนะคะ เดินไม่ค่อยยากมาก มีช่วงให้ได้พักตลอดเส้นทาง แถมมีร้านค้าให้แวะเพิ่มความหนักของร่างกาย แต่ลดความหนักของกระเป๋าสตางค์ได้ทุกซำ แตงโมคืออาหารที่ต้องห้าม ห้ามพลาดเด็ดขาด ข้างบนละลานตาไปด้วยร้านค้า อาหารเช้ามีให้เลือกหลากหลาย ทั้งไข่กระทะ น้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋พร้อมดิปจิ้มสารพัด โจ๊ก ข้าวต้ม อาหารเย็นเป็นหมูกระทะคือที่สุด ข้าวราดแกงอร่อยทุกร้านค่ะ ราคาอาจจะสูงกว่าด้านล่าง (เริ่มต้น50-70 บาท) แต่ไม่ได้แพงเกินไปจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ถึงราคาสูงแต่ปริมาณก็เยอะมากตามไปด้วยค่ะ ข้าวราดแกงผู้เขียนกินคนเดียวต้องให้พี่ๆเจ้าของร้านลดปริมาณลงให้เพราะทานไม่หมด ตลอดช่วงอยู่บนภู ผู้เขียนไปผูกปิ่นโตกาแฟ ที่ร้าน โอลีกาแฟสด กาแฟอร่อย พี่ๆเจ้าของร้านก็น่ารัก อัธยาศัยดี พี่ๆเล่าเรื่องภูกระดึง ในทุกๆช่วงให้ฟัง ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูแล้ง ความสวยงามก็ต่างกันไป สวยในแบบฉบับของใครของมัน นัดแนะกับพี่ๆเอาไว้ว่าช่วงสงกรานต์และก็ช่วงปิดภูจะกลับมาอีกครั้ง แต่เพราะเจ้าโควิดเป็นเหตุ ทำให้ไม่สามารถกลับขึ้นไปได้ การเตรียมร่างกาย สำหรับสาวๆอาจจะออกกำลังกายและเตรียมความพร้อมกำลังขานิดหน่อยให้ร่างกายได้ชิน ข้าวของไม่ต้องจัดเตรียมมากเหมือนไปเดินเขาลูกอื่นๆ ขอแค่มีใจและเงินในกระเป๋าบ้างเล็กน้อย ก็ลุยได้เลยค่ะ สาวๆคนไหนอยากจะลอง ออกเดินทางคนเดียวผู้เขียนแนะนำค่ะ ผู้เขียนเดินทางไปคนเดียวแต่ตลอดเส้นทางได้เจอเพื่อนร่วมเดินทางที่น่ารักมากๆ ผู้เขียนได้เจอพี่ผู้หญิงใจดีคนหนึ่งตั้งแต่บนรถทัวร์ พี่เขามากับเพื่อนๆนะคะ แต่ด้วยเห็นผู้เขียนเดินทางคนเดียวเลยอาสาถ่ายรูปให้ในทุกๆซำที่ได้เจอกัน คอยซักถามสภาพร่างกาย ขอบคุณนะคะสำหรับมิตรภาพที่น่ารักมากๆ #ระหว่างทางมีค่ากว่าปลายทางเสมอ ค่าใช้จ่าย ค่ารถทัวร์ บขส. 999 ราคา 678 บาท ค่ารถสองแถวเข้าที่ทำการ ราคา 300 บาท (หาร 5) ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท + แท็กติดเป๋า 10 บาท +ประกัน 10 บาท + ฝากของ 20 บาท ค่าจ้างลูกหาบแบกสัมภาระ ราคา 240 บาท ค่าเต็นท์และที่นอน ราคา 500 บาท ค่าอาหารบนภู โดยประมาณ (ข้าวราดแกง ราคา 50-70 บาท น้ำขวดใหญ่ขวดละ 50 บาท กาแฟสด 45-70 บาท) ค่าของฝาก ค่ารถขากลับ กทม. ผู้เขียนไปเที่ยวเชียงคานต่อค่ะ ** ช่วงพีคของการท่องเที่ยว หากจะลงภูให้รีบเอากระเป๋ามาฝากแต่เช้านะคะ กระเป๋าจะได้มาทันเวลา ** การชาร์ตไฟสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ สามารถชาร์ตที่ร้านอาหารได้ค่ะ หรือไปฝากชาร์ตที่ ที่ทำการอุทยานได้ (มีค่าใช้จ่าย) ** ตอนนี้อุทยาน ประกาศเปิดแล้วนะคะ ใครอยากไปสัมผัสภูกระดึง อย่ารอช้า เก็บกระเป๋า แล้วจองตั๋วไปด้วยกันค่ะ Credit: ภาพถ่ายทุกภาพเป็นของผู้เขียน อัปเดตบทความท่องเที่ยวตามสถานที่อันหลากหลาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !