ฝั่งธนบุรี ของกรุงเทพมหานครมีวัดวาอารามที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งขึ้นมีมาคู่กับตลาดพลูแห่งกรุงธนบุรีมาช้านาน ขอนำเสนอ “วัดขุ่นจันทร์” และ “วัดอัปสรสวรรค์” การเดินทาง เลือกโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานีตลาดพลู เลือกทางออกที่ 3 ถนนรัชดาภิเษก ต่อรถสองแถวสีแดง สายบางประกอก-วัดปากน้ำภาษีเจริญ ค่ารถ 8 บาทตลอดสาย นั่งต่อมาลง ซอยเทอดไท 28 สะดวกมากเนื่องจาก ระหว่างสถานีบีทีเอสตลาดพลูมาถึงวัด ระยะทางอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น วัดแรกคือ “วัดขุ่นจันทร์” หรือชื่อเป็นทางการคือ “วัดวรามาตยภันฑสาราราม” “วัดขุ่นจันทร์” ตั้งอยู่ปากซอยเทอดไท 28 วัดอยู่ติดถนนใหญ่เทอดไท ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งสำคัญ ๆ ให้กราบไหว้ขอพรอยู่หลายจุด “พระราหู” สำหรับพุทธศาสนิกชนที่ไม่ได้เตรียมของดำ มาบูชาพระราหู ทางวัดมีบริการจำหน่ายของดำสำหรับบูชาไหว้พระราหู ราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น มีของดำจำนวน 8 อย่าง และมีบริการดอกไม้ ธูป เทียน ใส่ตู้ทำบุญตามจิตศรัทธา บูชาพระราหู กราบขอพรหลวงพ่อใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง มีความสวยงดงาม และตั้งเด่นเป็นสง่ามาก ด้านบนสุดคือ “หลวงพ่อใหญ่” ที่ประดิษฐานอยู่บนหลังช้างมีจำนวน 3 ช้าง และพระราหูเป็นฐานด้านล่าง การมาไหว้พระราหูด้วยของดำจำนวน 8 อย่าง เปรียบเสมือนการมาสะเดาะเคราะห์ ขอให้เหตุการณ์ร้าย ๆ สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ให้อันตราธานหรือเบาบางลดลงไป รวมถึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่นิยมมาขอโชคลาภด้วยเช่นกัน “วัดขุ่นจันทร์” มีพิธีสวดบูชาพระราหูเป็นประจำ จัดขึ้นทุกวันพุธสุดท้ายของเดือน เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. จนถึงเวลา 21.00 น. อย่างล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตรงกับวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมดังกล่าวได้ “วิหารหลวงพ่อโต” กราบสักการะและขอพรได้ เพื่อเน้นให้ชีวิตมีความเจริญและรุ่งโรจน์ “หลวงพ่อหยกขาว” ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต พระพุทธรูปที่สร้างจากหยกขาวแท้ ๆ เป็นพระพุทธรูปศิลปะพม่า และพระพุทธรูปปางไสยาสน์ซึ่งเป็นศิลปะพม่าเช่นเดียวกัน ภายในพระวิหารมีรูปปั้นเสมือนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประดิษฐานอยู่ด้วย มีจุดสำคัญอีกจุดคือ “พระนอนไสยาสน์” เป็นศิลปะการสร้างตามแบบของพม่า ขอพรให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข “วัดขุนจันทร์” สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2370 โดย“ท้าวภัณฑสาร” ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดวรามาตยภันฑสาราราม” โดยเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบศิลปะไทยและพม่า วัดที่สองคือ “วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร” หรือประชาชนในท้องถิ่นจะเรียกว่า “วัดหมู” จาก”วัดขุ่นจันทร์” เพียงเดินข้ามสะพานข้ามคลองไม่ถึง 20 เมตร เท่านั้นก็จะเจอ “วัดอัปสรสวรรค์” จุดแรกที่สังเกตเห็นคือ “หอพระไตรปิฎก” ลักษณะอาคารไม้ทรงศิลปะไทยแท้ มีความสวยงามและตั้งเด่นเป็นสง่า ล้อมรอบด้วยน้ำที่ขุดขึ้น สันนิษฐานว่าจากสถาปัตยกรรมดังกล่าว เป็นศิลปะการก่อสร้างในยุคสมัยขอกรุงศรีอยุธยา นมัสการ “ศาลาหลวงพ่อโพธิ์” เด่นเรื่องเมตตามหานิยมทางการค้าขาย ทำให้มีพ่อค้าแม่ค้า ตลอดจนนักธุรกิจนิยมมากราบนมัสการของบารมีจากท่าน เนื่องจากมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ภายในพระอุโบสถมี พระประธานพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ สื่อถึงภพชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวนทั้ง 28 พระองค์ที่ตรัสรู้และเป็นศาสดาเอกของศาสนาพุทธ กราบนมัสการจะเพิ่มความโชคดีมีชัย ได้รับความมงคลให้ชีวิตมากยิ่งขึ้น “วัดอัปสรสวรรค์” ไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่าถูกสร้างในสมัยใด แต่ต่อมาเจ้าจอมน้อยหรือเจ้าจอมสุหรานในสมัยรัชการที่ 3 ได้ทรงดำเนินการบูรณะและปฏิสังขรณ์ รวมถึงพระราชทานนามว่า “วัดอัปสรสวรรค์” มาทำบุญย่านตลาดพลู สองวัดที่เก่าแก่และอยู่คู่กับฝั่งธนบุรีมาอย่างช้านาน การได้มากราบไหว้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการได้รับพรและเกิดความมีสิริมงคลดี ๆ ให้แก่ชีวิต รวมถึงได้เรียนรู้ศิลปะสถาปัตยกรรมของบรรพบุรุษแต่ครั้งโบราณที่ทรงอนุรักษ์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้คงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เครดิตภาพทั้งหมด “ภาพถ่ายโดยผู้เขียน”