ทริปนี้ ผมมากับแม่ และพี่ที่แชร์บ้านด้วยกัน ชื่อ เคน ซึ่งเป็นคนถ่ายรูปฝีมือดี และหลาย ๆ ภาพในบทความล้วนแต่ขอจากเคนมาทั้งนั้น เหมือนกับทุกประเทศที่มีทั้งด้านดี และด้านมืด ในมุมมืดหนึ่งของความเจริญในแสงสีที่มาเลเซีย ก็ขึ้นชื่อเรื่องการค้ามนุษย์ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งในไทยหลายครั้งช่วงปี พ.ศ. 2557-2561 และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อของเคน เมื่อรู้ว่าเธอมามาเลเซียกับผม จึงเกิดเป็นห่วงลูกสาว ตามปกติของพ่อแม่ที่ห่วงลูก หลังจากเก็บกระเป๋าจากโรงแรมในย่าน KL Sentral ซึ่งเราเห็นตรงกันว่าเบื่ออาหารเช้าโรงแรมที่นอนมาคืนหนึ่งแล้ว จึงออกไปหาอะไรแปลกใหม่ทาน และอ่านเจอร้านกาแฟดังในพันทิป และอยู่ไม่กี่ก้าวจากโรงแรมที่เราพักนี้เอง ร้านนี้ชื่อ OldTown White Coffee Brickfields ทำไมถึงเรียกว่ากาแฟขาว (White Coffee)? พูดถึงกาแฟ เราจะนึกถึงกาแฟที่มีสีดำ กาแฟดำสไตล์ต้นตำรับของมาเลเซีย คือกาแฟคั่วบดใส่น้ำตาล มาการีน และข้าวสาลีบด เรียกว่า โกปี๊-โอ (Kopi-O) แต่ที่เมืองเก่าในรัฐอิโป๊ะ (Ipoh) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย นิยมดื่มกาแฟคั่วบด ใส่มาการีน และเสิร์ฟกับนมข้นหวาน ทำให้สีของกาแฟออกโทนขาว เป็นที่มาของ White Coffee หรือกาแฟขาวนั่นเอง โดยทั่วไปใช้เรียกกาแฟใส่ครีมเทียม และนมข้นครับ ขอบคุณภาพจาก: https://bit.ly/2WemeBr ที่ร้าน OldTown White Coffee Brickfields ตกแต่งสไตล์โกปี๊เตี๊ยม ที่เป็นร้านกาแฟแบบดั้งเดิมของชาวมาเลย์และสิงคโปร์เชื้อสายจีน (รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีนทางภาคใต้) ที่ขายทั้งกาแฟ และอาหารเช้าแบบเบา ๆ หลากหลายเมนูไข่ และขนมปังปิ้ง ทานคู่กับชา กาแฟ ไมโล โอวัลติน หรือโกโก้ ร้านจัดแบบโปร่ง ๆ เปิดโล่งสองด้าน ซึ่งกาแฟที่นี่ค่อนไปทางหวานครับ อร่อยไปอีกแบบ Genting Highland หลังอาหารเช้า เราก็ตรงดิ่งมาขึ้นรถบัสที่ KL Sentral เพื่อเดินทางต่อไปยังเก็นติ้งไฮแลนด์ (Genting Highland) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว สิ้นสุดทางที่ Awana Skyway ยังไม่ถึงรีสอร์ทที่เก็นติ้งครับ เราต้องมาต่อกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) จาก Awana Skyway ขึ้นไปอีกทีหนึ่ง ช่วงที่ผมไป เป็นวันปีใหม่พอดี เก็นติ้งในเดือนมกราคมนั้นเต็มไปด้วยสายหมอกที่ปกคลุมยอดเขา กลายเป็นสีขาวโพลนกับไอละอองน้ำค้างที่เกาะเต็มกระจกกระเช้า แทบจะมองไม่เห็นอะไรในระยะ 100 เมตร เรามองเห็นยอดเจดีย์ทรงจีนผ่านไปแบบลิบ ๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่เราได้สูดไอหมอก และดูสายหมอกจากกระเช้านั้น กว่าจะถึง First World Genting Highland รีสอร์ทที่เรากำลังจะฝากชีวิตในคืนนี้ ขอบคุณภาพจาก: https://bit.ly/2SltvhK First World Resort Themepark จุดสังเกตแรกที่เราขึ้นมาถึงคือ ตึกโรงแรมขนาดใหญ่สไตล์ดั้งเดิมสีรุ้ง สวนสนุกด้านนอกรีสอร์ทปิดซ่อมในขณะนั้น แต่สิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนคือ ความหนาว และไอเย็นที่มาต้อนรับจนขนลุกซู่ First World เป็นทั้งรีสอร์ท และสวนสนุกขนาดใหญ่ที่รวมทุกความบันเทิงไว้ภายใน ทั้งสวนสนุกในร่ม สวนสนุกและสวนน้ำนอกอาคาร (ที่ขณะนั้นปิดซ่อมอยู่) แหล่งช้อปปิ้งซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นห้างแบรนด์เนม โรงแรม ไปจนถึงคาสิโน ล็อบบี้เช็คอินกว้างใหญ่ และคนเยอะมากเสียจนผมขอเช็คอินกับเครื่องเอาเองดีกว่า เราสามารถทำเช็คอินออนไลน์ได้เองจากตู้ ใช้แค่เพียงพาสปอร์ต ตู้จะจัดเตรียมคีย์การ์ดให้เราอัตโนมัติ ไม่ต้องรบกวนพนักงานเลยครับ ใช้ง่ายมาก ห้องพักมีหลายปีก หลายชั้นจนแอบงง แต่ในที่สุดก็มาถึง ในห้องมีวิวที่หันออกนอกตัวโรงแรม ซึ่งถ้าเป็นเวลาปกติ คงมองเห็นสวนสนุกนอกอาคารและหุบเขาที่เขียวชะอุ่มสุดลูกหูลูกตาเพราะเราขึ้นมาสูงมาก หากแต่ช่วงเวลาที่ผมไปนั้น ผมเห็นแต่หมอกครับ หมอกหนามาก จนแทบไม่เห็นอาคารสีรุ้งอีกฝั่งด้วยซ้ำ ห้องถ้าเลือกได้ ให้คอมเมนต์เลือกห้อง Non-smoking นะครับ หมายถึงห้องที่ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ ผมไม่ได้แจ้งไว้ ห้องเลยมีกลิ่นบุหรี่ทั้งชั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราจึงเดินสำรวจโดยรอบโรงแรม เริ่มจากโซนช้อปปิ้งที่บรรยากาศคล้าย Central Festival ที่พัทยา ของที่นั่นเรียกว่า First World Plaza ครับ นักท่องเที่ยวเยอะมากจากหลากหลายประเทศ ทั้งคนมาเลย์เอง อินเดีย จีน เกาหลี ที่เห็นเยอะหน่อยคือคนจีนครับ ห้างในโซนพลาซ่าไม่ต่างจากที่ไทยเท่าไหร่ คือ มีทั้งแบรนด์เนม หลายแบรนด์ที่ผมไม่รู้จัก และร้านอาหารที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เช่น Starbucks, McDonald, KFC ฯลฯ หลังจากเติมพลังที่กว่าจะได้ทานข้าวเที่ยงก็เกือบบ่ายกว่าแล้ว เราก็เดินไปสำรวจสวนสนุกในอาคารก่อน เหมือนยกดรีมเวิล์ดมาไว้ในร่มเลยครับ ทั้งชิงช้าสวรรค์ รถบั๊ม รถไฟเหาะตีลังกา รถโมโนเรลที่วิ่งชมรอบสวนสนุก ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ Believe it or not ของ Ripley ที่เปิดที่พัทยา ก็มีที่นี่ด้วย แต่เนื่องจากเราเคยเข้าที่พัทยาแล้ว ที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน เลยไม่ได้เข้าไปดู ที่เดียวที่เราเข้าในสวนสนุกคือ เมืองหิมะ ที่เล็กกว่าที่ดรีมเวิล์ดนิดหน่อย เลื่อนหิมะก็สั้นกว่า แต่สำหรับเคนที่เข้าเมืองหิมะเป็นครั้งแรก ก็แอบสนุกไม่น้อย เมื่อผ่านโซนคาสิโน พวกเราที่ไม่เคยเล่นการพนัน ขออนุญาตแม่เข้าไปแอบส่องดูว่าคาสิโนจริง ๆ มันเป็นยังไง แรกเมื่อเข้าไป สิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากอยู่นานคือ กลิ่นบุหรี่ที่ฟุ้งไปทั่ว มีนักท่องเที่ยวจีนหลายคนนั่งเล่นสล็อตแมชชีนอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อไปถึงริมระเบียงถึงได้เห็นชัดเจนว่า โซนคาสิโนที่นี่มีถึง 2 ชั้น ชั้นบนเป็นสล็อตแมชชีน ชั้นล่างเป็นโต๊ะไพ่และทอยเต๋า ซึ่งเรียงรายเต็มชั้นหนึ่งและคนเยอะมาก ผมได้แต่มองอยู่ข้างบนก็จะแวบออกอย่างรวดเร็ว สำหรับผม การเสียเงินไปกับการพนันไม่ได้ทำให้ผมบันเทิงเท่าไหร่นัก ใด ๆ ไม่เท่าของจริง ความเย็นของเมืองหิมะ ไม่ได้ทำให้เราประทับใจได้เท่ากับสายหมอกสุดขอบฟ้านอกโรงแรม เราเดินผ่านล็อบบี้มาจนถึงทางออกลานจอดรถที่ถ้าหมอกน้อยกว่านี้ คงได้เห็นทัศนียภาพของขุนเขา และกลุ่มเมฆอย่างชัดเจน หมอกนอกอาคารหนาจนแทบไม่เห็นตัวโรงแรมเมื่อมองย้อนกลับไป เย็นเจี๊ยบ สาแก่ใจสำหรับคนไทยที่แสวงหาที่เย็นอย่างพวกเรา ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เย็นฉ่ำนอกโรงแรมอย่างหนำใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าภายในโรงแรม หลังจากเดินตะลอนมาทั่วจนปวดขา เราเริ่มเดินหาที่นวด ที่นี่มีบริการนวดไทยด้วยครับ หมอนวดเองก็เป็นคนไทย แต่ค่านวดนี่สู้ไม่ไหวจริงๆ ครึ่งชั่วโมงประมาณ 600-800 บาทได้ เลยต้องเก็บความปวดมานวดที่ไทย วันรุ่งขึ้น เราเช็คเอาท์ และกลับกัวลาลัมเปอร์ด้วยวิธีเดิม คือลงกระเช้า และต่อรถบัส อากาศดีกว่าเมื่อวานมาก เลยพอเห็นความเขียวของภูเขาบ้าง เนื่องจากไฟลท์กลับกรุงเทพของเราบินตอนเย็น จึงพอมีเวลาเหลือช่วงบ่าย ผมจึงชวนแม่กับเคนไปเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกัวลาลัมเปอร์ (Muzium Negara Kuala Lumpur) ด้วยความที่ไม่อยากแบกกระเป๋าพะรุงพะรังไปพิพิธภัณฑ์ด้วย เพราะจาก KL Sentral สามารถเดินไปพิพิธภัณฑ์ได้แค่ 10 นาทีเดิน เราจึงตัดสินใจใช้บริการตู้ฝากกระเป๋าที่ KL Sentral ตู้ฝากกระเป๋าที่นี่ทันสมัยและไฮเทคมากครับ ไม่ต้องใช้กุญแจเลย ใช้ระบบจดจำใบหน้าในการล็อคและปลดล็อคเท่านั้น เสียแต่ว่า กล้องที่ต้องตั้งระบบจดจำใบหน้าดันอยู่สูงกว่าความสูงของผม ที่เขย่งสุดหัวแม่เท้าแล้ว หน้าของผมก็ยังสูงไม่ถึงกล้องเสียที สุดท้ายเลยต้องรบกวนยืมหน้าเคนที่สูงกว่าในการล็อคและปลดล็อคสัมภาระทั้งหมดของเรา “บอกพ่อนะ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะเอาเธอไปขาย เพราะถ้าไม่มีเธอ เรากลับบ้านไม่ได้แน่นอน” ผมแซว พิพิณภัณฑสถานแห่งชาติ กัวลาลัมเปอร์ (Muzium Negara Kuala Lumpur) จาก KL Sentral เดินตามแผนที่ที่วกวน ในที่สุดเราก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงความเป็นมาของชาติมาเลเซีย และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้คนที่นี่ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน ภายในอาคารเป็น Gallery จัดแสดงภาพถ่าย เนื้อหา และโบราณวัตถุที่ขุดพบ บริเวณลานรอบอาคารจัดแสดงยานพาหนะ ตั้งแต่ยุคโบราณที่ยังต้องเดินทางด้วยเกวียน มาจนถึงรถยนต์ในปัจจุบัน สิ่งที่สะดุดตาผมที่นี่คือ วัฒนธรรมร่วมของหนังตะลุง ที่ปรับปรุงให้ร่วมสมัยมากขึ้น เราจึงได้เห็นหุ่นหนังตะลุงของดาร์ธเวเดอร์ แบทแมน และซูเปอร์แมนปรากฏตัวในพิพิธภัณฑ์ด้วย เรากลับมาเอากระเป๋าที่ KL Sentral และนั่งรถไฟหัวกระสุน KL Ekspres ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงตรงดิ่งสู่สนามบิน KLIA เลย ไม่แวะที่ไหน ค่าตั๋วประมาณ 450 บาท / คน / เที่ยว ใช้เวลาเพียง 40 นาทีถึงสนามบิน เนื่องจากมาเลเซียมี 2 สนามบินที่แยกระหว่างบินในประเทศ และบินต่างประเทศ แถมตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก การซื้อตั๋วรถไฟต้องเช็คให้ดีว่าเราต้องขึ้นเครื่องจากสนามบินไหน และต้องลงสถานีไหน หลังจากกลับมาทำงานได้ช่วงหนึ่ง ผมก็ได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากลูกค้าฝั่งเวียดนาม “ลูกค้า VIP เราลืมโทรศัพท์ไว้ที่สนามบิน นายช่วยเอามาส่งคืนลูกค้าที่นี่ก่อนเขาบินกลับได้มั้ย” ลูกค้าชาวเวียดนามถาม การส่งของข้ามประเทศอาจใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ซึ่งลูกค้าของเรากำลังจะบินออกจากเวียดนามภายใน 3 วัน การบินไปส่งของเองที่นั่นจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ผมเข้าใจว่าทำไมลูกค้าผมถึงขอแบบนั้น “แลกกับอะไร เพราะบริษัทคงไม่จ่ายให้ผมไปถึงนั่นเพื่อส่งของแน่ ๆ และเรื่องนี้ผมต้องรับผิดชอบเอง” ผมอธิบาย “มาเถอะ เราจะจัดการให้พร้อมกับทริปที่ซาปา ถ้านายสนใจ” เขาเสนอ และนั่นทำให้ผมต้องรีบเตรียมตัวด่วนเพราะมีเวลาแค่วันเดียวก่อนจะเดินทาง โดยจุดหมายถัดไป คือ ซาปา เวียดนาม เครดิตภาพ: Pornpan Kleepkaew อ้างอิง: https://bit.ly/2SltvhK https://www.kliaekspres.com/plan-buy/fares-passes/ http://www.jmm.gov.my/en/museum/muzium-negara https://en.m.wikipedia.org/wiki/Ipoh_white_coffee