นาทีนี้เชื่อว่า คงแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จัก "เกาะล้าน" กันใช่ไหมล่ะคะ? แต่..! จะมีสักกี่คนที่รู้จักและเคยไป "จุดชมวิวสุดลับ" ที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในเขา บริเวณริมถนนที่ทอดสู่หาดตาแหวนอันโด่งดัง ที่แม้ข้างทางจะเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ตลอดเวลา แต่น้อยคนมาก ๆ ที่จะสังเกตเห็นทางขึ้นไปยังจุดชมวิว และน้อยคนมาก ๆ เช่นกัน ที่แม้จะสังเกตเห็นแล้ว ก็คงรู้สึกเหนื่อยอ่อนหากจะขึ้นไป เพราะอะไรนั้น มาติดตามกันในบทความนี้ได้เลยค่า! ด้วยความสะดวกในการเดินทาง และความงดงามที่ไม่เป็นสองรองใครของ "เกาะล้าน" ที่ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ แถมยังมีรถประจำทางให้บริการหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถตู้ที่ออกทุก ๆ 15 นาที และรสบัสที่ออกทุก ๆ 30 นาที ทำให้ "เกาะล้าน" เป็นจุดมุ่งหมายอันดับต้น ๆ ของคนเมือง ในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจระยะสั้น ๆ ในวันหยุด เพราะนอกจากจะได้สัมผัสความงดงามของทะเลที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังสามารถเลือกเปลี่ยนสีสัน มาเที่ยว Night Life ยามค่ำคืน ในเมืองพัทยา ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้ "เกาะล้าน" ไม่เคยเงียบเหงาจากการมาเยือนของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ หากค้นดูในอินเทอร์เน็ต จะเจอรีวิวท่องเที่ยวเกาะล้านจำนวนมากจนเลือกอ่านไม่ถูกเลยทีเดียว แต่.. ไม่ว่าจะหาอย่างไร 90% ของรีวิว ไม่ได้พูดถึงสถานที่หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดชมวิวลับที่บทความนี้ตั้งใจจะนำเสนอนั่นเองค่ะ แหม.. ถ้าถูกพูดถึงเยอะ ก็คงไม่เรียกว่า "จุดชมวิวลับ" หรอก ใช่ไหมล่ะคะ? ฮ่า ๆ ๆ พูดพร่ำทำเพลงมาเยอะแล้ว เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าค่ะ ว่าเจ้าจุดชมวิวลับนี่อยู่บริเวณไหน และมีวิธีเข้าไปถึงยังไงได้บ้าง ทางขึ้นจุดชมวิว จะอยู่บริเวณถนนที่ทอดลงไปสู่หาดตาแหวนค่ะ ให้สังเกตุดี ๆ ข้างทางจะมีป้ายเขียนว่า "จุดชมวิวเขานม" จุดนี้จะหาได้ไม่ยากค่ะ มีให้ในแผนที่ เป็นจุดที่ยังไม่ใช่จุดชมวิวลับที่บอกไป แต่ต้องผ่านไปทางจุดชมวิวเขานมก่อนค่ะ “จุดชมวิวเขานม” จะตั้งอยู่บริเวณ “หน่วยบริการประชาชนบ้านเกาะล้าน” ซึ่งถนนหนทางค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่ชันมาก สามารถขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นได้เลยค่ะ หรือแจ้งรถประจำทางที่ให้บริการรอบเกาะก็ได้เช่นกัน เมื่อขึ้นไปถึงที่ทำการ ต้องเดินขึ้นบันไดมาอีกสักหน่อย ใช้เวลาไม่นานก็จะถึงจุดชมวิว ได้รับชมวิวในมุมที่สูงขึ้นไปของเกาะ มองไปเห็นวิวเมืองพัทยาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก ๆ ค่ะ นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ให้ได้กราบไหว้สักการะกันเพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ การจะขึ้นมาถึงจุดนี้นั้นไม่ยากเท่าใดนัก แต่หลายคนไม่รู้ว่า เมื่อเดินลึกเข้าไปในเขาอีกหน่อย ด้านหลังองค์พระ จะพบทางขึ้นไปยังจุดชมวิวลับอีกแห่งหนึ่ง ด้วยบันไดที่สูงชัน ราว 200-300 ขั้น ประกอบด้วยอากาศร้อนของเดือนเมษายน หลายคนอาจไม่สู้อยากขึ้นไปเท่าไหร่ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ต้องขึ้นไปดูให้รู้กันค่ะ จะได้ไปชักภาพในมุมแปลกตาที่ไม่ซ้ำใครไปว้โพสต์อวดใน Social Media ฮ่า ๆ ๆ ทางขึ้นไปยังจุดชมวิว สร้างขึ้นด้วยบันไดหินให้สามารถเดินได้อย่างสะดวก แต่ด้วยความชัน และความสูงที่หากจำไม่ผิดน่าจะเกือบ 300 ขั้น เลยทีเดียว ทำให้เส้นทางการขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของเกาะนั้น ค่อนข้างทรหดไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวขั้นบันไดก็สูงพอสมควรค่ะ ต้องออกแรงก้าวขาในแต่ละขั้นมากกว่าขั้นบันไดทั่วไป งานนี้ใครขาสั้นก็เสียเปรียบไปนะคะ ฮ่า ๆ ๆ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินขึ้นสู่ยอดเขา แต่วิวระหว่างทางที่สวยจับใจ ก็ทำให้คลายความเหนื่อยลงได้บ้างเหมือนกันค่ะ แนะนำว่าหากสนใจจะขึ้นไป อย่าลืมเตรียมน้ำเปล่าไปด้วยนะคะ พักเหนื่อยเป็นจุด ๆ อย่าหักโหมมากไปค่ะ เพราะยิ่งขึ้นสูง ระดับออกซิเจนก็เบาบางลง สวนทางกับระดับความเหนื่อยและความร้อนที่เพิ่มทวี แวะพักเหนื่อย เสพความงามระหว่างทางกันไป ลดความทรหดไปได้เยอะเลยค่ะ แถมยังได้รูปในมุมที่น้อยคนจะได้มาเยือนด้วยนะ อิอิ สิ่งที่จะเห็นพบเห็นได้เรื่อย ๆ ระหว่างทาง คือป้ายที่เขียนข้อคิดคำคม คล้ายกับที่เคยเจอในวัดต่าง ๆ มีปรากฎให้อ่านกันเรื่อย ๆ ระหว่างฝึกความอดทนในการเดินขึ้น ก็พอจะเดาได้กลาย ๆ ว่าด้านบนต้องเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัด หรือศาสนา แน่นอน รูปที่นำมาให้ชมกัน เป็นข้อความที่ชอบมากค่ะ "กรุณาฆ่าความเกลียด" ถ้ามีสิ่งใดที่เราต้องกำจัดมันออกไปจากชีวิต สิ่งนั้นคงต้องเป็นความเกลียด วันหนึ่ง ๆ เราใช้ความเกลียดในการฆ่าความรู้สึกกันและกันทางอ้อม ทั้งอาจจะโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว หันกลับมาฆ่าสิ่งที่เป็นศรัตรูที่แท้จริงกันดีกว่านะคะ ฆ่าความเกลียดให้สิ้นซากไป อีกข้อความหนึ่งที่ชอบคือ "รู้ว่าอ่อนแอ ต้องฝึกให้เข้มแข็ง" ประจวบเหมาะมาก ที่เงยหน้าขึ้นเจอข้อความนี้ตอนที่กำลังเหนื่อยหอบ พลางบ่นว่าไม่อยากขึ้นไปแล้ว ข้อความนี้สะกิดบางอย่างในใจขึ้นมา ความอ่อนแอที่มี ไม่ว่าจะทั้งทางกายหรือทางใจ หากรู้ว่ามี ก็ต้องยอมรับ และฝึกให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะความเข้มแข็งทางจิตใจ ระหว่างทางที่เดินมาก็พลางคิดนะคะว่า ที่นี่อาจเป็นเส้นทางศึกษาธรรมะ ผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติที่หมายถึงทรัพยากรสิ่งแวดล้อมรอบตัว และธรรมชาติที่เกิดจากการกระทำในช่วงขณะนั้น ๆ หรือที่เรียกว่า ..ธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ นั่นเองค่ะ ในที่สุดก็เดินทางขึ้นมาถึงค่ะ ด้วยความเหนื่อยหอบ แต่ก็อิ่มเอมใจกับระหว่างทางเป็นที่สุด แน่นอนว่าเป็นไปตามที่คาดค่ะ ด้านบนเป็นสถานที่ทางศาสนา มีศาลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมด้วยวงล้อที่ทำจากไม้วางอยู่บริเวณใกล้ ๆ ดูแล้วขออนุมานว่าเป็นปางที่สื่อถึงเหตุการณ์เทศนาธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรของพระพุทธเจ้าค่ะ บริเวณโดยรอบมีความร่มรื่น มีเสียงนกร้องเป็นระยะ และมีป้ายข้อคิดคำคมประดับประดาให้ได้ศึกษาเรียนรู้อยู่ทั่วไปในบริเวณค่ะ นอกจากนี้ บริเวณใกล้ ๆ ยังมีบ่อน้ำเล็ก ๆ อยู่ภายในศาลาไม้ ถูกกั้นไว้ด้วยระแนงไม้ ประดับประดาผ้าหลากสี ที่มองดูแล้วมีความทรุดโทรมเหมือนผ่านระยะเวลาไปยาวนานพอสมควรแล้ว พยายามมองหาป้ายอธิบาย แต่ไม่มีเลยค่ะ มีเพียงป้ายที่ติดไว้ที่ศาลา จับใจความได้ลาง ๆ ว่า "น้ำทิพย์" ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ สถานที่แห่งนี้อาจเคยเป็นสถานที่สำคัญทางความเชื่อของศาสนามาตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันถูกทิ้งร้างไว้ จึงหาข้อมูลได้ยาก ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ บริเวณใกล้ ๆ มีหินที่ถูกแกะสลักเป็นรูปฤาษีอยู่ด้วยค่ะ แม้จะเริ่มเสื่อมสภาพตามกาลเวลาแล้ว แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความงดงาม และแรงศรัทธาที่สื่อออกมา จะว่าไปแล้ว หากขึ้นมาคนเดียวก็แอบหลอนไม่เบาเหมือนกันนะคะ ฮ่า ๆ ๆ มาถึงไฮไลท์ของการขึ้นมาแล้วค่ะ อย่างที่บอกว่านี่คือ "จุดชมวิวลับ" แน่นอนว่าก็ต้องมีวิวสวย ๆ รอเสิร์ฟผู้มาเยือนอยู่แล้ว! วิวด้านบนนี้เรียกได้ว่ามองเห็นได้รอบเกาะเลยล่ะค่ะ สูงมาก แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งสวยเช่นกัน ลมพัดแรง ได้ยินเสียงลมพัดคละเคล้ากับเสียงกระดิ่งจากศาลาพระพุทธรูป และเสียงนกที่บินขวักไขว่ในป่า เสมือนได้ฟังเพลงที่ปรุงแต่งขึ้นจากธรรมชาติ เพลงที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถฟังซ้ำท่อนเดิมได้ เพราะถูกรังสรรแบบ Real Time จากธรรมชาติ ณ ขณะนั้น เป็นความพิเศษที่มีให้เฉพาะผู้มาเยือนที่ค้นพบจุดชมวิวลับนี้เท่านั้นค่ะ.. 3 ชั่วโมงที่ใช้ไปกับการยลทัศนียภาพในมุมที่แปลกใหม่ นั่งพักให้ลมเย็น ๆ ปะทะหน้า พลางฟังท่วงทำนองจากธรรมชาติจนอิ่มเอมใจแล้ว นับว่าเป็นกำไรของการมาทริปนี้เลยล่ะค่ะ ขาลงไม่เหนื่อยเลย เพราะได้ชาร์จแบตจากธรรมชาติมาเต็มเปี่ยม หลายครั้งที่การไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ สำหรับหลายคนก็เป็นเพียงการถ่ายรูปเช็คอินในมุมมหาชน หรือเน้นเที่ยวทุกจุดให้ครบเพื่อความคุ้มค่า แต่กลายเป็นทัวร์ชะโงกไป อยากจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้ลองหามุมที่คิดว่าสามารถสัมผัสกับความเป็นตัวตนของสถานที่แห่งนั้นได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่มุมที่สวยที่สุด แต่เป็นมุมที่รู้สึก "ใช่" ที่สุด และใช้เวลาซึมซับธรรมชาติตรงนั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาที่เสียไปดูค่ะ ให้ธรรมชาติช่วยเยียวยาและเพิ่มพลังใจกันกันนะคะ :) "สรรพสิ่งล้วนมีความงาม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็น.." -- แอนดี้ วอฮอล เรื่อง-ภาพ : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)