หลังจาก "อยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ" กันอยู่หลายเดือน Long Weekend ครั้งแรกของครอบครัวเราก็มาถึง เด็กๆ และทุกคนในบ้านต่างเรียกร้องว่า "อยากไปทะเล" กันอย่างพร้อมเพรียง จุดหมายปลายทางของครอบครัวเราก็คือ "หัวหิน" ที่เปรียบเสมือนบ้านที่สองของเด็กๆ พวกเราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาทางถนนพระราม 2 ในช่วงบ่ายของวันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม 2563 รถติดอยู่พอประมาณ แวะซื้ออาหารเย็นมาทานกันบนรถ พวกเรามาถึง คอนโดที่พักช่วงค่ำๆ เด็กๆ ที่นอนเอาแรงกันมาตาสว่างทันที รีบลงจากรถวิ่งตรงไปที่ทะเล ผู้ใหญ่ช่วยกันขนของขึ้นห้องพัก เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงคลื่นซัดชายหาดเป็นจังหวะ ช่างไพเราะเสนาะหูจริงๆ แค่ฟังเสียงก็ผ่อนคลายแล้ว พอออกมายืนที่ระเบียงห้องพัก เห็นแสงสีทองของดวงอาทิตย์กระทบกับผืนทะเลอันกว้างใหญ่เป็นประกายระยับ เรือประมงลำเล็กๆ ออกหาปลา สวยงามเหมือนกับ ส.ค.ส.ที่ทำขายกันสมัยก่อน (อาม่ากล่าวไว้) ทุกคนต่างดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า ฟังเสียงคลื่น เสียงลม รู้สึกผ่อนคลาย ชดเชยช่วงเวลาที่อุดอู้ในห้อง ในบ้าน ไปหมดแล้ว เด็กๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าไปเล่นน้ำทะเลกันแต่เช้า โดยมีอากงอาม่าไปนั่งเฝ้า ส่วนผู้ใหญ่ขับรถออกไปซื้ออาหารง่ายๆ มาทานกัน วันนี้แต่ละร้านคิวยาวเชียว ไม่ว่าจะเป็น "ร้านข้าวมันไก่ลมหวล" ที่ครอบครัวเรามักจะฝากท้องเอาไว้ตอนมาหัวหิน "ร้านต้มเลือดหมู" เจ้าประจำยังไม่กลับมาขายตั้งแต่ช่วงโควิด ก็เลยต้องซื้อร้านอื่นมาทดแทน แวะตลาดฉัตรไชย ซื้อข้าวเหนียวหมูย่าง และข้าวเหนียวมะม่วง กลับมาเป็นเสบียงสำหรับคนที่รอที่คอนโด มาถึงทะเลหัวหินทั้งที ก็ต้องไม่พลาดซีฟู้ดแสนอร่อย บรรยากาศริมทะเล "ร้านเจ๊เขียว" เป็นอีกร้านประจำของครอบครัวเรา อยู่ริมทะเลเขาตะเกียบ เด็กๆ ได้เดินเล่นริมทะเล บริเวณนี้มีม้ามาให้เด็กๆ เช่าขี่เล่นได้ด้วย ส่วนรสชาติอาหารที่นี่ การันตีเรื่องความสด และรสชาติการปรุงอาหารอร่อย รับรองไม่ผิดหวัง นอกจากนี้ยังมีของหวานหลากหลาย ทั้งขนมถ้วย, ลอดช่องสิงคโปร์, ทับทิมกรอบ และไอศครีมกระทิสด เรียกได้ว่าถูกใจทั้งครอบครัว ระหว่างเดินทางไปรถติดประมาณนึงเพราะใกล้เที่ยง แต่ดีที่เราจองโต๊ะไว้ก่อน ได้โต๊ะริมทะเลสมใจ นั่งแทะปู, กุ้ง, ปลา ไปฟินสุดๆ จากประสบการณ์การเข้าคิวซื้ออาหารเช้าอันยาวนาน พวกเราตกลงใจกันว่าจะทำอาหารง่ายๆ ทานที่คอนโดทั้งมื้อเย็น และมื้อเช้า จะได้มีเวลาดื่มด่ำเล่นน้ำทะเลแยะๆ หน่อย ดีกว่าใช้เวลาไปรอคิวซื้ออาหาร พวกเราจึงแวะ Makro ซื้ออาหารทะเลไปทำมาม่าซีฟู้ด และแวะตลาดนัดตรงข้ามค่ายนเรศวรซื้อผัก, ไข่ และเครื่องปรุงเพิ่มเติม นั่งทานอาหารเย็นง่ายๆ กับครอบครัวริมระเบียงและนั่งตากลมทะเล ฟังเสียงคลื่นก็สุขใจแล้ว เด็กๆ ไปเล่นทะเลรอบเย็น แล้วขึ้นมานอนหลับสบายเพราะใช้พลังไปแยะ วันที่ 2 ตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมกระเทียมเจียวของ "ข้าวต้มกระดูกหมูกับกุ้ง" ต้นตำรับของครอบครัวเราเอง รสชาติสำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับคนในครอบครัวรู้สึกว่าซุปหวานล้ำ อร่อยเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะปกติไม่ค่อยได้ทำอาหารทานเอง และไม่ค่อยได้ทานรสมือแม่มานาน หลังจากเล่นน้ำทะเลเสร็จแล้ว วันนี้เราก็เปลี่ยนบรรยากาศไปทาน Panda Hot Pot ร้านชื่อดังจากจีน ที่เปิดสาขาแรกในไทยที่ หัวหิน มาเยียนถึงถิ่นทั้งที ก็ต้องไม่พลาดต้องลองสักหน่อย ครอบครัวเรามาถึงเป็นรายแรกของร้านวันนี้ พวกเราเลือก "ซุปหม่าล่า" ซึ่งเป็นไฮไลท์ของร้านนี้ กับ "ซุปผัก" ซึ่งไม่เผ็ดให้กับเด็กๆ เริ่มแรกก็ประทับใจกับหม้อซุปขนาดใหญ่สะใจ แตกต่างกับร้านอื่นๆ ที่เคยทานในกรุงเทพฯ น้ำซุปหม่าล่าเข้มข้นซี้ดซ้าดสะใจสมคำร่ำลือ มีเคาน์เตอร์น้ำจิ้มให้ปรุงน้ำจิ้มเอง และมีน้ำชาจีนให้เติมฟรี กับ ข้าวเกรียบ อาหารสดอร่อย ถูกปากทั้งครอบครัว หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารคาว ก็มาถึงร้านกาแฟร้านโปรดของพวกเรา "ร้านกาแฟข้างบ้าน" ขับออกจากร้าน Panda Hot Pot มาประมาณ 500 เมตร จะเห็นร้านและป้ายเด่นอยู่ริมถนน ร้านนี้อร่อยทั้งกาแฟ, ชา, โกโก้ และขนมต่างๆ เด็กชอบวอฟเฟิลของร้านนี้ ยิ่งทานตอนร้อนๆ ก็ยิ่งอร่อย พวกเราส่งตัวแทนไปซื้อขึ้นมาทานบนรถ และขับรถเล่นไปต่อ ตอนแรกจะแวะไปเล่นน้ำที่ "สวนสนประดิพัทธ์" ที่เลยไปประมาณ 7 กิโล แต่พอไปถึงก็พ่ายแพ้ฝูงชนล้นหลาม ต้องล่าถอยกลับคอนโด ขับรถออกมาผ่าน "อุทยานราชภักดิ์" อาม่ายังไม่เคยมาชมตอนช่วงกระแสแรงๆ ก็เลยขับเข้าไปวนชมด้านใน แต่ไม่ได้ลงไปด้านล่างเพราะแดดแรงมาก แวะซื้อวัตถุดิบทำอาหารเย็นก่อนกลับคอนโด ไปนั่งตากลม ชมทะเล เล่นน้ำทะเลให้จุใจ กับคนที่เรารัก ก่อนจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ มาเติม "VitaminSea" ให้ร่างกายและจิตใจ และปลดปล่อยความอัดอั้นช่วงโควิด แล้วเดินทางกลับไปสู่ชีวิตปกติ จนกว่าจะพบกันใหม่นะจ๊ะ...หัวหิน ภาพประกอบโดย...ผู้เขียน