ขอเริ่มต้นรีวิวแรกใน TrueID In-Trend กับการเดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ซึ่งจริงๆแล้วทริปนี้เริ่มต้นด้วยการที่เราไถ Facebook แล้วไปเจอที่พักแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี ชื่อ ปาท่องโก๋ จากนั้นเราก็ไม่รีรอที่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ทั้งหมด 7 คนถ้วน เพื่อออกทริปแบบชิลๆ 3 วัน 2 คืน ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เพื่อไม่เป็นการเสียนาฬิกา เอ้ย! เสียเวลา ขอเชิญพับกบ เอ้ย! พบกับ รีวิวการเดินทางในครั้งนี้ได้เลยฮ่ะช่วงเดือนที่ไป: ต้นเดือนเมษายนกล้องที่ใช้: Fuji xt-20 + LightroomDay 1: Mulberry Mellow คาเฟ่แรกในทริปนี้ของพวก ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองกาญจนบุรี จุดเด่นของที่นี่คือต้นไม้ขนาดใหญ่ ประกอบกับมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ให้ feel ธรรมชาติ สบายตา สบายใจ เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะมาเป็นครอบครัว แก็งค์เพื่อน หรือคู่รักก็สามารถมานั่งชิว จิบชา กาแฟ กินขนมกันได้ หรือถ้าใครหิวๆที่นี่เขาก็มีอาหารคาวให้เราได้ฝากท้องกัน เรียกได้ว่ามาครบจบในที่เดียวขอบอกเลยว่า Muberry Mellow ถือว่าเป็น 1 ในคาเฟ่ที่พวกเราอยากแนะนำเป็นอย่างมาก ใครที่มีโอกาสแวะมากาญจนบุรี ก็อย่าลืมมาปักหมุดและเช็คอินกันได้นะTip: ที่นี่มีไอศกรีมรสมัลเบอร์รี่+นมสดขายในโซน In door แต่ด้วยอากาศของไทยที่ร้อนตับแตกแหวกนรกในช่วงนี้ ใครที่คิดจะถ่ายรูปไอศกรีมกับบรรยากาศโดยรอบหรือจะนำไปแบ่งเพื่อนทานในโซน Outdoor แนะนำว่าต้องคิดไว้ทำไวมาก ๆเพราะมันจะละลายเร็วมากถึงมากที่สุด มุมนี้จะเป็นร้านขายของทานเล่น จะถ่ายท่ายืน ท่าเดินก็ได้ หรือท่านั่งก็ดีนะหลังจากถ่ายกับจุดขายของน่ารักๆเสร็จ ลองมองมาทางซ้ายมือก็จะเจอมุมทางเดินที่พอประกอบกับกิ่งของต้นไม้ด้านบนก็จะได้รูปแนวเส้นนำสายตา เกร๋ๆไปอีกแบบ มุมนี้เป็นมุมที่เราชอบที่สุดเลย มีองค์ประกอบทั้งแอ่งน้ำ ต้นไม้ใหญ่ ผืนหญ้า และ เก้าอี้ผ้าใบสีสันสดใสที่ตัดกับความเขียวของต้นไม้ใบหญ้าพอดิบพอดีTip: มุมนี้ลองอาศัยจังหวะที่คนไม่เยอะมาก เอาเก้าอี้ชายหาดมาตั้งสัก 3-4 ตัว น่าจะช่วยให้เราดูไม่เหงาจนเปล่าเปลี่ยวเกินไปหลังจากที่ถ่ายรูปริมน้ำเสร็จแล้ว พอหันหลังกลับมาก็จะมีต้นไม้ใหญ่หลายตั้งตระหง่านเป็น background อยู่ด้านหลัง ซึ่งพอถ่ายรูปออกมาก็ได้ feel ต้นจามจุรียักษ์อยู่นะ สำหรับใครที่ไม่มีเวลาไป Check-in ที่ต้นจามจุรียักษ์ (Giant Rain tree) อาจจะเก็บภาพในจุดนี้ก็น่าจะพอถูๆไถๆไปได้ขอเก็บบรรยากาศเพิ่มเติมสักหน่อย บอกเลยว่า สายเขียวสายธรรมชาติต้องชอบแน่ ๆ เพราะทุกอย่างมันดูร่มรื่นไปหมด ถ่ายรูปออกมาสวยไม่จกตาแน่นอนหลังจากที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันอย่างเต็มอิ่ม เราก็ใช้เวลาเดินทางกันต่ออีกประมาณเกือบ 1.5 - 2 ชั่วโมง เพื่อมายังที่พักซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ที่มีชื่อว่า ปาท่องโก๋ (Patongo camping) นั่นเอง ซึ่งขอบอกเลยว่า วิวของนี่นี่สุดปังเพราะอยู่ติดอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน เพียบพร้อมไปด้วยขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้า รับรองว่าสายแคมปิ้ง สายธรรมชาติน่าจะถูกใจสิ่งนี้เป็นแน่Tip: ด้วยการที่ๆพักค่อนข้างอยู่ไกลปืนเที่ยง ทำให้สาธารณูปโภคต่างๆอาจจะไม่ได้เอื้ออำนวยมากนัก เช่น สัญญาณโทรศัพท์ที่มาๆหายๆ รวมถึงแมลงที่ค่อนข้างเยอะ แต่ยังดีที่ยังมีบริการ Wifi ให้ใช้ ดังนั้นสายโซเชียลไม่ต้องกังวลไปนะฮ่ะTip: ที่พักมีบริการหมูกระทะให้ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ 350 บาทต่อชุด รวมถึงมีอาหารตามสั่งให้เลือกอีกมากมาย ซึ่งถ้าใครสนใจทานหมูกระทะแนะนำให้สั่งล่วงหน้าไปก่อน เพราะของอาจจะหมดได้ ส่วนเครื่องดื่มและขนมอื่นๆแนะนำให้แวะซื้อมาก่อนเข้าที่พักจะดีกว่าสำหรับกิจกรรมของที่นี่ก็มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การพายเรือคายัค / Surf board / ปั่นจักรยาน / แพเปียก ซึ่งเราสามารถเล่นได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม ส่วน ATV มีค่าใช้จ่าย 400 บาทต่อ 30 นาที ดังนั้นใครที่อยากจะทำกิจกรรมเหล่านี้ช่วงเย็นๆ แนะนำให้วางแผนการเดินทางดีๆ เพราะอย่างที่บอกไปตัวที่พักค่อนข้างอยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีพอสมควรDay 2: หลังจากนอนจนเต็มอิ่ม เราก็พร้อมออกเดินทางไปยังหมุดหมายต่อไป ซึ่งจริงๆแล้วเราแพลนที่จะแวะ Safari park บ่อพลอยซึ่งเป็นทางผ่าน แต่ด้วยสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนและเวลาที่มีจำกัด เราก็เลยมุ่งตรงไปยังร้านอาหารชื่อว่า “ซุ่นเฮง” ผัดไทยไม่ใส่เส้น ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อที่เปิดมายาวนานมากกว่า 80 ปีแทนTip: เนื่องจากเราไปกันวันเสาร์-อาทิตย์ คนเลยค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณ 12.00 – 13.00 รวมถึงเมนูเด็ดอย่างผัดไทไร้เส้นก็มีปริมาณต่อจานค่อนข้างน้อย ดังนั้น ใครที่กำลังหิวโหย แน่นำให้สั่งเบิ้ลไปเลย เพราะถ้ากินเสร็จแล้วไม่อิ่มแล้วต้องการมาสั่งเพิ่มที่หลังอาจจะเสียเวลารอมาก ๆส่วนใครอยากเห็นบรรยากาศของ Safari park ก็ตามภาพด้านล่างเลย ซึ่งเป็นการไปเที่ยวกาญจนบุรีครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรือใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ตามไปที่กระทู้นี้ได้ https://pantip.com/topic/39509829หลังจากหนังท้องตึง แต่หนังตาเราจะหย่อนไม่ได้ เพราะยังมี 1 คาเฟ่ ที่เราจะไปในวันนี้ นั่นคือ Lakeview cafe โดยเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง จากร้านอาหาร คาเฟ่ที่นี่อยู่ติดกับทะเลสาบและภูเขา ซึ่งมีหลายจุดที่น่าสนใจสำหรับสายถ่ายรูป โดยจุดแรกที่เราแนะนำจะอยู่ทางซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าหาทะเลสาบ ซึ่งมุมนี้ก็จะได้วิวทางเดินพร้อมกับวิวภูเขาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ปล. ดูจากท่าเดินแล้ว ถ้า The face Thailand เปิดรับสมัคร คงต้องขอส่งไปประกวดบ้างแล้วละอีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจก็คือตรงชิงช้านั่นเอง จะถ่ายเดี่ยว ถ่ายคู่ หรือ ถ่ายหมู่ก็สวยงามแบบไม่มีอะไรมากั้น ปล. แต่ถ้าถ่ายหนักก็ต้องไปหาห้องน้ำนะ แฮร่!!!ยังไม่หมด ที่นี่ยังมีสะพานไม้ที่ยื่นออกไปยังทะเลสาบอีก จะถ่ายมุมใกล้ หรือ มุมไกลก็ดีไปหมดดดดหรืออยากจะถ่ายมุมเฉียงๆ ก็สวยไปอีกแบบเก็บภาพบรรยากาศเล็กๆน้อยๆก่อนกลับที่พัก ปล. คาเฟ่นี่ เขามีที่พักให้บริการด้วยนะ จะเห็นว่าในรูปที่ 3 นั่นคือห้องของที่นี่ ใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆหลังจากใช้เวลาที่คาเฟ่อยู่สักพักใหญ่ เราก็ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพื่อเดินทางไปยังที่พักในคืนที่ 2 ของเรา ซึ่งมีชื่อว่า The Tryst River Kwai โดยตัวห้องก็มีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ โดยรวมแล้วถือว่าหรูหราหมาเห่าอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าราคาก็แรงอยู่เช่นกัน แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเขามีโปรโมชั่นให้ใช้เราเที่ยวด้วยกันได้ ทำให้เราเซฟเงินไปได้ไม่น้อยTip: ตัวที่พักอยู่ห่างจากร้านสะดวกซื้อพอสมควร โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ดังนั้น ก่อนเข้ามาแนะนำให้ซื้อของติดไม้ติดมือมาก่อนเลยจะดีกว่าTip: สำหรับใครที่ต้องการพื้นที่ปิ้ง BBQ แบบ Private แนะนำให้จองห้อง River scape แบบห้องในรูปนะ โดยวัตถุดิบและอุปกรณ์ทุกอย่างทางที่พักจะจัดมาให้หมด ในมื้อเย็นเมนูที่เราสั่งไปทั้งหมดก็สนนราคาอยู่ที่ 1,700 บาท ส่วนใครที่ไม่ได้จองห้องนี้ ทางที่พักก็จัดพื้นส่วนกลางไว้ปิ้ง BBQ ไว้เหมือนกัน ถ้าสนใจก็ควรติดต่อสอบถามไปตั้งแต่เนิ่นๆ เก็บบรรยากาศโดยรอบมาฝากสักหน่อย สวยจริงๆไม่ติงนังDay 3: วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว ในใจก็แอบคิดว่าอยากจะขอต่อเวลาเที่ยวไปอีกได้ไหม ไม่อยากกลับไปทำงานเลยยย!!!! โดยวันนี้กิจกรรมยามเช้าของเราก็คือ การไปล่องแพเปียก แต่ด้วยบรรยากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ประกอบกับอากาศที่หนาวแปลกๆ นึกว่าไม่ใช่หน้าร้อน ทั้งๆที่เป็นช่วงเดือนเมษายน ก็เลยทำให้แต่ละคนไม่อยากตัวเปียกเพราะอากาศมันเย็นเกินไปจริงๆ สภาพ!!!!!!!!!!!!!!Tip: การล่องแพเปียกใช้เวลา 45 นาที โดยผู้ให้บริการจะมาจากข้างนอก ไม่ใช่ของที่พัก ดังนั้น สำหรับใครที่ไม่อยากให้ตัวเปียกนานๆ แนะนำให้เตรียมผ้าเช็ดตัวไปเองด้วยก็ดีเพราะจุดล่องแพอยู่ห่างจากที่พักพอสมควร โดยจะมีรถของผู้ให้บริการมารับ-ส่งเราถึงที่ ปล. ล่องแพรอบสุดท้ายหมดตอนประมาณ 16.00หลังจากทำกิจกรรมเสร็จ เราก็กลับมาเก็บข้าวเก็บของพร้อมออกเดินทางไปยังหมุดหมายต่อไป ซึ่งระหว่างที่รอเพื่อนๆก็ขอเก็บภาพบรรยากาศรอบๆอีกสักหน่อย พอออกจากที่พักมาประมาณเกือบ 1 ชม. เราก็เดินทางมาถึงร้านอาหารยอดนิยมอย่างคีรีมันตราด้วยอาการที่หิวโหยสุดๆ ซึ่งแน่นอนทั้งด้วยความหิวและอาหารที่อร่อย เราก็เลยตั้งหน้าตั้งตาโซ้ยกันแบบไม่พูดไม่จากันเลยทีเดียว ดังนั้น รูปประกอบจึงไม่ได้มีมาให้เพื่อนๆได้ชมกัน ต้องขออภัยในความหิวเมื่อทานเสร็จเราก็สังเกตเห็นว่าใกล้ๆกันมีทุ่งมาร์กาเร็ตและสวนแคคตัสของ The village farm to café อยู่ ซึ่งไหนๆก็มาแล้ว ก็ขอเดินเข้าไปชมหน่อยละกัน ถือเป็นการเดินย่อยไปไหนตัว ซึ่งค่าเข้าก็สนนราคาอยู่ที่ท่านละ 80 บาท ปล. ล่าสุดที่เช็คมาตัวสวนแคคตัสน่าจะยังมีอยู่ แต่ทุ่งมาร์กาเร็ตไม่แน่ใจว่าน้องเหี่ยวเฉาไปหรือยัง ใครทราบก็คอมเมนต์มาได้ถัดมาอีกไม่ถึง 10 นาที เราก็มาถึงคาเฟ่สุดท้ายกันแล้ว นั่นก็คือ Din café ซึ่งหลังจากสั่งกาฟงกาแฟเรียบร้อย เราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงมุ่งตรงไปยังจุดถ่ายรูปที่เป็น signature ของร้าน ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกเรียงกันและมีช่องทางเดินตรงกลางTip: ถ้าอยากได้รูปมุมนี้ ก็ให้คนถ่ายอยู่ข้างบนร้าน ส่วนคนเป็นแบบก็เดินลงบันไดไปยืนหล่อๆสวยๆได้เลยเก็บภาพบรรยากาศอีกนิดหน่อย และก็บอกลากาญจนบุรีพร้อมเดินทางกลับกทม. ปล. ถ้าใครอยากแวะทานข้าวเย็นระหว่างเดินทางกลับ ก็ขอแนะนำกุ้งอบผู้เขาไฟนครปฐม คิดแล้วน้ำลายสอกับรสชาติกุ้งคลุกน้ำมันเยิ้มๆก็จบกันไปแล้วสำหรับรีวิวเที่ยวกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน หวังว่าเพื่อนๆจะได้อิ่มเอมไปกับบรรยากาศและได้ข้อมูลไว้ใช้แพลนทริปของตัวเองไม่มากก็น้อย สำหรับทริปหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก ก็ฝากติดตามและคอมเมนต์มาเป็นกำลังใจให้กันได้นะฮ่ะ ก่อนจากไปก็ขอบอกว่า ม้าที่ว่าเร็วแล้วยังแพ้ลาเพราะลาไปก่อน สวัสดีครัช!ภาพถ่ายโดย (By My Side: ผลัดกันถ่าย)ติดตามทริปอื่นๆของพวกเราได้ที่:Facebook: https://www.facebook.com/Bymyside.29/เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !