เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หลังจากหาข้อมูลเพื่อมาเป็นครูอาสาที่หมู่บ้านสบลาน ต.สะเมิง อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ผมก็ได้ถูกชวนเพื่อมาสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชนเผ่าปะกากะญอ และเดินทางไกลไปใช้ชีวิตกินอยู่ในป่า เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติและการดำรงชีพในป่าเป็นเวลา 4 วันเต็ม ๆ ทริปล่องแม่นํ้าขานเป็นกิจกรรมที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จัดโดยศูนย์การเรียนรู้โจ๊ะมาโลลือหล่า สถานที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีห้องนํ้าต้องเข้าในป่า นํ้าดื่มหาตามลำธาร หาปลาในแม่นํ้ามาทำอาหาร กลายเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นสำหรับผม หลังจากที่ต้องทำงานหนัก ๆ มาเกือบทั้งปี จนทำให้ความสุขบางอย่างในการใช้ชีวิตขาดหายไป การได้เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ พบเจอผู้คนต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อกัน อาจทำให้เรามีความคิดมุมมองที่ต่างออกไปจากเดิม ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองใหญ่มาตลอดทั้งปี ลองหนีเข้าไปใช้ชีวิตในป่า ตัดขาดจากโลกภายนอก คงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตัวเราได้พูดคุยกับตัวเองได้อย่างดีที่สุด บางทีมันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหมือนกัน ว่าคนเราที่ต่างการเลี้ยงดู ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม อยู่ไกลกันคนละฟากฟ้าแต่ได้ก็มาใช้ชีวิตร่วมกัน ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เริ่มต้นการเดินทางด้วยขบวนรถไฟ 109 กทม-เชียงใหม่ จริง ๆ แล้วผมได้ลองเช็คราคาตั๋วเครื่องบินถูกกว่าเยอะเลย แต่ไปแบบนี้ก็ได้บรรยากาศการเดินทางไปอีกแบบ นั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลงเพลิน ๆ ขบวนที่ผมนั่งเป็นรถตู้นอนปรับอากาศชั้น 2 ออกเดินทางเวลา 13.45 ถึงเชียงใหม่ประมาณตีห้า อาจจะไม่ได้หรูหรามากมาย แต่ก็นอนสบาย แอร์เย็น พร้อมกับคนเดินขายอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่บ่ายยันคํ่า ไม่ต้องกลัวหิว ตอนแรกผมว่าจะนั่งชั้นสามไป แต่คิดไปคิดมา ไม่ห้าวดีกว่า อย่างน้อย ๆ ขอความเป็นส่วนตัวเวลานอนไว้หน่อย จะได้นอนอย่างเต็มที่ ฮ่า ๆ จากตัวเมืองเชียงใหม่ ผมเดินทางถึงหมู่บ้านสบลานช่วงบ่าย ๆ หมู่บ้านเล็ก ๆ ประชากรแค่ 30 ครัวเรือน เป็นชนเผ่าปะกากะญอ ได้เรียนรู้ความเป็นมาของหมู่บ้าน ชาวบ้านทำอาหารให้ทานและได้ชวนผมไปนอนที่บ้านของชาวบ้าน แต่ผมรู้สึกเกรงใจเลยขอนอนที่ศูนย์การเรียนรู้ ในภาพคนข้างขวาคือ "พะตี่ตาแยะ ยอดฉัตรมิ่งบุญ" เป็นผู้นําหมู่บ้าน หน้าตาดุ ขรึม แต่ใจดี (พะตี่ ภาษาปะกากะญอแปลว่า ลุง) อากาศค่อนข้างหนาวเย็น หมามันคงหนาวเลยมานั่งผิงไฟด้วยกัน หลังจากอยู่กินที่หมู่บ้านสบลานหนึ่งวัน พวกเราชาวคณะต้องออกเดินทางเข้าไปในป่าตามล่าหากริชเงินเพื่อไปปราบวิญญาณเสือร้ายอังกอร์ แหม่... ความจริงคือเข้าไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในป่าและเรียนรู้ธรรมชาติ คณะเดินทางประกอบด้วยชาวบ้านสบลาน คณะครูนักเรียนการศึกษาทางเลือกจากบ้านสบลานและม่อนแสงดาว จ.เชียงราย และพี่ ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออบขานมาร่วมเดินไปด้วยเพื่อคอยดูแลและให้ความรู้ ตลอดการเดินทางในป่า ได้รับความรู้เรื่องต่าง ๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ หรือความรู้ในการใช้ชีวิตในป่า เช่น การหานํ้าดื่ม ต้องไปหาตามแหล่งนํ้า หรือต้องขุดบ่อทรายขึ้นมาหลังจากนั้นนํ้าจะซึมก็ต้องวิดนํ้าจนกว่านํ้ามันจะใส ถ้ายังกลัว ๆ ในการดื่มก็เอาไปต้มฆ่าเชื้อ และวิทยากรพิเศษที่มาร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วยคือ อาจารย์น้อม งามนิสัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์ และโลกศาสตร์ จะมาเป็นวิทยากรคอยให้ความรู้ และตอบคำถาม เกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจต่าง ๆ ตลอดการเดินทาง หลังจากเดินมาตลอดทั้งวัน พอถึงจุดตั้งแคมป์คืนที่หนึ่ง น้องเก่งเป็นเด็กชนเผ่ารุ่นใหม่ไฟแรงที่หลงรักธรรมชาติและชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ ได้พาเด็ก ๆ จากม่อนแสงดาวซึ่งประกอบไปด้วยชนเผ่าม้งและอาข่า ออกมาหาปลาในลำธารเพื่อเอาไปทำเป็นอาหารเย็น การหาปลาในลำธาร ได้รับการอนุญาตจากพี่เจ้าหน้าที่อุทยานแล้ว ถ้าหาเพื่อไปกินก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือวิถีชีวิตของคนที่นี่ ปลาที่หามาได้ พวกเราได้จัดการเอาขี้มันออกและได้เอามาปิ้ง ผมได้ลองชิม เนื้อปลาหวานอร่อย และได้ลองดื่มนํ้าที่ต้มจากกระบอกไม้ไผ่ หอมกลิ่นเยื่อไผ่เบา ๆ ช่วงที่เราปิ้งปลากัน น้องเก่งก็ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องปลาสายพันธุ์ต่างๆ น้องเก่งจะมีคู่มือความรู้ต่าง ๆ ผมและน้อง ๆ จากม่อนแสงดาวก็ได้เรียนรู้ไปด้วย ส่วนแผ่นด้านซ้ายมือเป็นแผ่นที่ไว้ใช้ทำกิจกรรม "นักสืบสายนํ้า" คือเราจะวัดคุณภาพนํ้าจากสัตว์ที่อยู่ในแหล่งนํ้าบริเวณนั้นๆ ว่านํ้านั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ดี ในแต่ละวันเราจะเดินแบกกระเป๋าสัมภาระไปเรื่อย ๆ และแวะพักเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องต่าง ๆ สถานที่ ๆ เราค้างแรมกันในแต่ละคืนจะอยู่ริมแม่นํ้า ขอบอกว่าบรรยากาศดีมาก ๆ ได้อารมณ์มาแค้มปิ้งแบบจริงจัง ส่วนเรื่องห้องนํ้าหรือปวดหนัก โน่นเลยต้องวิ่งเข้าไปในป่าอย่างเดียว ทิชชู่เปียกคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ "พ่อบุญ" ปราชญ์ชาวบ้านสบลาน ผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน สอนให้ผมรู้ในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในป่า และเรื่องราวทั่วไป เป็นคนแรกที่พาผมเดินไปหาแหล่งนํ้าดื่ม คอยหุงข้าวและทำอาหารให้ทานในทุก ๆ มื้อ ประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้สัมผัสมา อยากจะบอกว่าชาวบ้านมีความจริงใจตั้งแต่แรกเจอเลยแหละ ในภาพพ่อบุญกำลังสาธิตการแกะเมล็ดจะบกและอธิบายข้อมูลให้ฟัง เสบียงที่พวกเราช่วยกันขนไปส่วนใหญ่จะเป็นข้าวและอาหารแห้งทุกคนจะถูกแบ่งสัมภาระเสบียงอาหารอย่างเท่า ๆ กัน ช่วยกันแบกเพื่อนำไปประกอบอาหารสำหรับทานในแต่ละมื้อ หมูย่างหินดาด เป็นมื้อสุดท้ายที่พวกเราได้ร่วมทานกันอย่างอร่อยหลังจากทานกะหลํ่าผัดใส่ไข่ที่ไร้รสชาติมาหลายมื้อ พวกผมบางส่วนต้องเดินออกจากจุดตั้งแคมป์ไปที่ทำการอุทยานประมาณเกือบ 7 km. เพื่อไปเอาหมูมาย่าง เป็นกิจกรรมปิดท้ายก่อนออกจากป่า คนที่ไม่ชอบทานสามชั้นอย่างผมพูดแบบอวย ๆ เลยว่าอร่อยมากครับ ในคืนสุดท้าย พวกเราย่างหมูกินและพูดคุยกันอย่างสนุกในหลาย ๆ เรื่องราว ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนหลาย ๆ ชนเผ่าทั้ง ปะกากะญอ ปะโอ อาข่า ม้ง จะมีความทรงจำที่ดีร่วมกันในคํ่าคืนนี้ ก่อนที่พวกเราจะลาจากกันในเช้าของวันถัดไป ประสบการณ์ครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้เพอร์เฟค บางเวลาก็เหนื่อย บางเวลาใฝ่หาความสะดวกสบาย แต่การเดินทางในครั้งนี้ทำให้ได้ฝึกฝนจิตใจ ฝึกความรับผิดชอบต่อตัวเอง การไปในสถานที่ซึ่งไร้สัญญาณโทรศัพท์ตัดขาดจากโลกภายนอก ก็ทำให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้น อย่างน้อย ๆ มันทำให้คนอย่างผมได้เห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตมากขึ้นเยอะเลยครับ หากสนใจการเดินทางเพื่อเติมประสบการณ์ชีวิตอย่างมีคุณค่า เรียนรู้ธรรมชาติ เรียนรู้ตัวเอง เปิดมุมมองใหม่ ๆ สามารถติตามข้อมูลได้จากเพจ "ศูนย์การเรียนรู้โจ๊ะมาโลลือหล่า" และ "JOA IDEE" ได้เลยครับ ภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน : Ti on My Way