เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย ฉันโชคดีมีโอกาสได้ใช้เวลา 2 – 3 ชั่วโมงในห้องเรียน นั่งฟังอาจารย์วิโรฒ ศรีสุโร สอนเรื่องศิลปวัฒนธรรมอีสาน ตอนนั้นท่านอยู่ในตำแหน่งคณบดีผู้ก่อตั้งคณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้ข่าวจากเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งว่า ท่านได้จากไปแล้วด้วยปัญหาสุขภาพ ฝากไว้เพียงผลงานและคุณค่ามากมายที่ได้สร้างไว้ให้แก่วงวิชาการศิลปะมาอย่างยาวนาน มีคำอธิบายหนึ่งที่อาจารย์มักใช้สื่อถึงศิลปวัฒนธรรมอีสาน แล้วทำให้ฉันจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ คือคำว่า “สวยเพราะซื่อ” เป็นการอธิบายคุณค่าของศิลปะอีสานที่ทำให้คนไม่มีหัวศิลป์อย่างฉันเข้าใจได้ในทันที ทุกวันนี้ ยิ่งฉันได้มีโอกาสสัมผัสและใส่ใจเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมอีสานมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เห็นด้วยกับคำนี้ นั่นเพราะฉันรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์ เรียบง่าย และสมถะ ที่แฝงอยู่ในงานศิลป์ของถิ่นอีสาน และรู้สึกชัดเจนเหลือเกินว่า สิ่งที่แฝงอยู่เหล่านี้ช่างแสดงพลังมหาศาลได้อย่างน่าทึ่ง 14 เมษายน ในปีหนึ่ง ฉันมีโอกาสไปเยือน บ้านแสงภา หมู่บ้านสงบที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมโอบของภูสวนทรายในอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย เป้าหมายหลักคือการไปชม งานประเพณีแห่ต้นดอกไม้ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นอีกหนึ่งประเพณีเก่าแก่ที่ชาวบ้านแสงภาสืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 400 ปี โดยเชื่อกันว่า หากได้ร่วมแห่ต้นดอกไม้จะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต ฝนตกต้องตามฤดูกาล สัตว์เลี้ยงและข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ความพิเศษของการแห่ต้นดอกไม้ที่นี่คือ ขนาดของต้นดอกไม้ที่สูงพอ ๆ กับตึกสองชั้น บวกกับบรรยากาศความสนุกสนานขณะทำการแห่ ที่ทำให้ฉันอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานนี้ ทันทีที่รถแล่นเข้าสู่บริเวณวัดศรีโพธิ์ชัยซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน สายตาฉันก็สะดุดกับโบสถ์เก่าแก่งดงามหลังหนึ่งที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ภายในวัด แสงแดดอ่อนสีทองยามเย็นอาบไล้ผนังโบสถ์ด้านทิศตะวันตกและหลังคาสามชั้นที่ลดหลั่นกันอย่างอ่อนช้อย หน้าบันซึ่งประดับด้วยฮังผึ้งและภาพวาด ยามเมื่อต้องแสงแดดสีทองยิ่งทำให้โบสถ์หลังนี้งามน่ามองและแลดูอ่อนช้อยยิ่งขึ้นไปอีก ฉันมารู้ข้อมูลภายหลังว่า ชาวบ้านแสงภาดั้งเดิมเป็นชาวหลวงพระบางที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาตั้งหมู่บ้านอยู่ที่บริเวณนี้ เดิมหมู่บ้านนี้ชื่อ “บ้านเซียงพา” ตั้งตามชื่อผู้นำในการย้ายถิ่นฐานมาก่อตั้งหมู่บ้าน ต่อมาจึงเพี้ยนกลายเป็น “บ้านแสงภา” ดังที่เรียกกันอยู่ในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่โบสถ์งามหลังนี้จะได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะแบบล้านช้างหรือหลวงพระบาง หลังก้าวเท้าลงจากรถพร้อมเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน เราต่างกระจายกันไปเก็บภาพ กราบพระภายในโบสถ์ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ปู่ใหญ่” เมื่อทยอยกันออกมาจากโบสถ์แล้ว ชาวบ้านแสงภาก็เข้ามาเชื้อเชิญให้ไปกราบ “พระเพชร” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑป และชมความงามของหอไตรไม้เสาสูง ก่อนที่พวกเราจะเดินทางเข้าไปภายในคุ้มหมู่บ้านเพื่อดูชาวบ้านตกแต่งต้นดอกไม้ที่จะนำมาถวายและแห่ที่วัดศรีโพธิ์ชัยในค่ำนี้ ไม้ไผ่ที่ประกอบขึ้นเป็นโครงของต้นดอกไม้ขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15 เมตร วางนอนอยู่บริเวณถนนของคุ้มบ้าน เคียงคู่ด้วยโครงต้นดอกไม้ขนาดกลางที่วางอยู่ไม่ไกลกันนัก ชาวบ้านทั้งชายหญิงทุกช่วงวัย ต่างกำลังช่วยกันประดับตกแต่งโครงไม้ไผ่ด้วยดอกไม้หน้าร้อนสีสันสดใส หางนกยูงสีแดง เฟื่องฟ้าสีม่วง และดอกคูนสีเหลืองสดถูกจับรวบแบบง่ายๆ แล้วผูกมัดด้วยตอกไม้ไผ่ ยึดเข้ากับตัวโครงจนทั่วทั้งต้น ต้นดอกไม้ที่นี่ทำขึ้นโดยใช้วัสดุธรรมชาติทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่การประกอบโครงไม้ไผ่ลำโต ก็ล้วนใช้ตอกไม้ไผ่ในการมัด ผสมผสานกับเทคนิคการเข้าไม้ โดยไม่ใช้ลวดหรือตะปูแม้แต่ดอกเดียว และสำคัญที่สุดคือ ขั้นตอนการทำทั้งหมดเริ่มตั้งแต่การตัดไม้ไผ่จนกระทั่งประดับตกแต่งเสร็จสิ้น จะต้องทำให้สำเร็จภายในวันเดียว เป็นความพิเศษที่ฉันรู้สึกว่า หากไม่มีความตั้งใจอันบริสุทธิ์ กับความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในคุ้ม ก็คงยากที่จะทำให้สำเร็จได้ สายน้ำที่ชาวบ้านฉีดพรมต้นดอกไม้ในระหว่างตกแต่ง นอกจากจะช่วยให้ดอกไม้สดไม่เหี่ยวเฉาแล้ว ยังช่วยให้ไม้ไผ่อ่อนตัว ซึ่งจะทำให้เกิดความสวยงามมากยิ่งขึ้นเมื่อยามโยกส่ายในเวลาแห่ ขณะเดียวกัน ก็เป็นความฉ่ำเย็นที่ประพรมแก่ชาวบ้านทุกคนที่มาร่วมกันตกแต่งต้นดอกไม้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การหยอกล้อสาดน้ำกัน และใบหน้าเปี่ยมสุข เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ตลอดเวลาที่ดูการตกแต่งต้นดอกไม้ท่ามกลางบรรยากาศเสียงเพลงอันสนุกสนาน หลังจากเก็บภาพได้สักพัก และหลายคนในกลุ่มได้ลองช่วยชาวบ้านตกแต่งต้นดอกไม้กันแล้ว เราทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปเติมท้องให้อิ่มด้วยอาหารมื้อเย็นในเขตที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสวนทรายซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก รอเวลาชาวบ้านมารวมตัวกันที่วัดเพื่อเตรียมแห่ต้นดอกไม้ในเวลาทุ่มตรง มื้อเย็นในบรรยากาศงามท่ามกลางธรรมชาติ ทำให้อาหารง่าย ๆ ไม่กี่อย่าง อร่อยอย่างเหลือเชื่อในความรู้สึกฉัน บรรยากาศก่อนฟ้ามืดที่วัดเริ่มคึกคัก ชาวบ้านแต่ละคุ้มทยอยแบกต้นดอกไม้มาวางเรียงรายที่ข้างโบสถ์ สูงต่ำลดหลั่นกันไปอย่างสวยงาม แปลกที่ความสูงใหญ่ของต้นดอกไม้ที่สูงพอ ๆ กับหลังคาโบสถ์ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่านี่คือความ “อลังการ” ตามที่ได้ยินหลายคนพูดกัน แต่ฉันกลับรู้สึกว่า ภาพตรงหน้าขณะนี้ เป็นการแสดงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ผ่านงานศิลปะที่ดู “ซื่อ บริสุทธิ์ เรียบง่าย” ในแบบชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่ความวิจิตรอลังการที่ฉีกหนีไปจากวิถีชาวบ้าน ดังที่อาจเกิดขึ้นแล้วกับงานประเพณีหลายงานในถิ่นอีสาน ฉันไม่แน่ใจนักว่าจะมีใครรู้สึกเหมือนฉันบ้างไหม เมื่อความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณวัด แสงไฟตามจุดต่าง ๆ ก็สว่างขึ้นพอให้เห็นบรรยากาศทั่วไป ชาวบ้านเริ่มทยอยนำเทียนเล่มเล็ก ๆ มาจุดและตั้งบนฐานของต้นดอกไม้เพื่อเป็นพุทธบูชา ตัวแทนชายหนุ่มประจำต้นดอกไม้ของแต่ละคุ้มปีนขึ้นไปจุดเทียนเล่มใหญ่ แล้วปักไว้ภายในต้นดอกไม้หลาย ๆ จุด จนแสงเทียนส่องสว่างขับความสวยงามของต้นดอกไม้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นในทุก ๆ ต้น พอได้เวลาเริ่มงาน มีผู้หลักผู้ใหญ่จากทางจังหวัดมาร่วมพิธีเปิด จู่ ๆ สายฝนที่ส่อแววว่าจะตกมาตั้งแต่ช่วงเย็นก็เริ่มโปรยปราย จนฉันชักนึกหวั่นใจกลัวจะเป็นอุปสรรคทำให้ชาวบ้านแห่ต้นดอกไม้ไม่ไหว แต่ประธานในพิธีเปิดก็เอ่ยถ้อยคำสร้างบรรยากาศและให้กำลังใจว่า ถือเป็นน้ำมนต์จากเทวดาที่ประพรมมอบสิริมงคลให้แก่ทุก ๆ คน สิ้นเสียงกล่าวเปิดและการกล่าวคำถวายต้นดอกไม้ ชาวบ้านยังคงอยู่เฉย ด้วยไม่แน่ใจในลำดับพิธีการ จนพิธีกรของงานต้องประกาศขึ้นว่า “เอ๊า... ขึ้นทะแมะพี่น้อง หย่าวโลด บ่ต้องย่านฝน เทวดาเพิ่นพรมน้ำมนต์ให้ปานนี้แล้ว โยกคัก ๆ โลด !!” เป็นการปลุกใจและส่งสัญญาณการเริ่มแห่ต้นดอกไม้ สิ้นเสียงประกาศ พลันผู้คนและบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างคึกคัก เสียงดนตรีสนุกสนานเร้าใจดังขึ้น ฉันขนลุกซู่ แม้จะเป็นคนขี้หนาว แต่ก็มั่นใจที่สุดว่า อาการนี้ไม่ได้เกิดจากอากาศเย็นหรือฝนโปรยปรายเป็นแน่ ตัวแทนผู้ชายที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้แบกต้นดอกไม้ต่างเข้าประจำที่คานหาม แล้วส่งเสียงให้สัญญาณยกคานต้นดอกไม้ขึ้นสู่บ่าพร้อมกัน ทำเอาหลายคนที่ชมอยู่รู้สึกฮึกเหิมอยากแบกกับชาวบ้านด้วย ส่วนตัวแทนผู้หญิงต่างก็แต่งตัวสวยงาม ฟ้อนรำไปในขบวนแห่อย่างสนุกสนานท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ฝนเพียงแค่นี้ไม่อาจเป็นอุปสรรคที่จะทำลายศรัทธาและความตั้งใจของชาวบ้านได้เลยแม้แต่น้อย ในเมื่อตั้งใจมาตั้งแต่เริ่มต้นจนเกือบจะบรรลุเป้าหมายสุดท้ายแล้ว ไยต้องยอมแพ้ให้อุปสรรคเพียงสายฝนโปรย ฉันยกเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นคลุมหัวและกล้องแก่ ๆ คุ้มดีคุ้มร้ายที่อยู่ในมือ เดินตามไปเก็บภาพอย่างสนุกในอารมณ์ ลีลาการโยกต้นดอกไม้ไปตามจังหวะดนตรีทำให้ต้นดอกไม้ขนาดใหญ่โยกส่ายไปมาราวมีชีวิต แลดูเหมือนกำลังฟ้อนร่ายรำไปกับชาวบ้านด้วย และความที่ต้นดอกไม้มีหลายขนาด จึงมีการแบ่งช่วงวัยของคนแบก เราจึงได้เห็นตั้งแต่หนุ่มรุ่นใหญ่ หนุ่มวัยรุ่น ไปจนถึงเด็กชายที่ต่างก็โยกส่ายแสดงพลังความแข็งแรงในการแห่ต้นดอกไม้กันอย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครยอมใคร ความหนักของต้นดอกไม้ดูจะไม่มีผลใด ๆ ต่อความสนุกสนานในการแห่เลย กำไรจึงตกเป็นของคนเฝ้าดูอย่างฉันและเพื่อนร่วมทาง ที่ต่างก็อดรู้สึกสนุกไปด้วยไม่ได้ หลายคนรู้สึกอัศจรรย์ใจที่พอแห่ไปได้สักพัก สายฝนก็หยุดโปรยปราย ผู้คนที่เคยยืนดูอยู่ภายในเต็นท์หรือใต้ชายคาต่างก็ออกมาร่วมดูขบวนแห่กันอย่างใกล้ชิด บรรยากาศจึงคึกคักจนแห่บูชาพระรัตนตรัยครบ 3 รอบ และตั้งต้นดอกไม้ไว้รายรอบโบสถ์เป็นการเสร็จพิธี ต้นดอกไม้บางต้นหักลงในขณะแห่ บางต้นมาหักในตอนสุดท้ายก่อนยกลงจากบ่า ด้วยจังหวะการวางที่ไม่พร้อมกัน แต่การหักของต้นดอกไม้ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศแย่ลง เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่า ต้นดอกไม้ทุกต้นล้วนทำมาด้วยความตั้งใจ แม้จะหักแต่ก็ถวายเป็นพุทธบูชาได้ และไม่ใช่การสื่อถึงสัญญาณไม่ดีแต่อย่างใด ฉันนึกชื่นชมความเชื่อนี้ อะไรจะยิ่งใหญ่และสำคัญไปกว่าความตั้งใจอันบริสุทธิ์ คงน่าเสียใจหากความตั้งใจแน่วแน่ดีงามจะถูกตีความแปรเปลี่ยนไปในทางลบ เพียงเพราะไม่ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายสุดท้ายที่คาดหวัง ภาพสุดท้ายตอนสามทุ่มเศษ หลังเสร็จสิ้นพิธีแห่ ต้นดอกไม้ที่ยังมีแสงเทียนวับแวมตั้งวางอย่างมั่นคงอยู่รายรอบโบสถ์ รอเวลาซ่อมแซมเปลี่ยนดอกไม้ และประดับตกแต่งเพิ่มเติมใหม่เพื่อแห่อีกครั้งในค่ำวันพรุ่ง และจะแห่อีกในทุก ๆ คืนวันพระตลอดเดือนเมษายน ชาวบ้านต่างทยอยกันกลับบ้าน รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวพาฉันและเพื่อนร่วมทางออกจากวัดศรีโพธิ์ชัย เราอำลาบ้านแสงภาไปยังที่พักในอำเภอด่านซ้ายด้วยความรู้สึกประทับใจกันถ้วนหน้า ก่อนนอนคืนนั้น ฉันไล่ดูภาพที่พยายามถ่ายมา ภาพไม่สวยด้วยอ่อนด้อยทั้งฝีมือและอุปกรณ์ หากแต่ภาพในความทรงจำกลับแจ่มชัดงดงามยิ่งกว่าภาพถ่าย ฉันอยากขอบคุณทุกคนและทุกสิ่งที่นำพาให้ฉันได้มาสัมผัสกับพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้านแสงภาในงานนี้ “ประเพณีแห่ต้นดอกไม้” อีกหนึ่งวัฒนธรรมตามวิถีอีสานที่งามด้วยคุณค่า และ “สวยเพราะซื่อ” แต่เปี่ยมเสน่ห์ เปล่งศรัทธา ทรงพลังมหาศาลในความรู้สึก และจะประทับตราตรึงอยู่ในใจฉันไปอีกแสนนาน .......... *** ผลงานโดย ว่างเขียน เผยแพร่ครั้งแรกทาง Facebook page : เที่ยวซะเลย