ปกติแล้วเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศ เราก็มักจะนั่งเครื่องบินไป เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการเดินทาง แต่บางครั้งการทำอะไรที่จำเจ เหมือน ๆ เดิม ก็ทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้นการหาอะไรทำที่แตกต่างจากเดิม มันก็เป็นอะไรที่ท้าทายในชีวิตและกระตุ้นความต้องการการเรียนรู้ของเราเอง ผู้เขียนจึงเปลี่ยนการท่องเที่ยวจากนั่งเครื่องบินอย่างเดียว เป็นนั่งเครื่องบินบ้าง รถไฟบ้าง ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่บางครั้งประสบการณ์ก็สำคัญกว่าผลลัพธ์และนี่คือประสบการณ์การนั่งรถไฟเที่ยวยุโรป จากปราก สู่เวียนนา และจบท้ายด้วยบูดาเปสต์ในแบบของผู้เขียนอย่างที่เคยกล่าวไว้ในบทความครั้งก่อน ๆ ว่าผู้เขียนอาศัยอยู่ที่ประเทศสวีเดน และมีวันหยุดแค่ 15 วัน ด้วยเวลาแค่นี้ ที่อยากใช้เวลาให้คุ้มค่า ก็เลยต้องหาที่ ๆ มีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ถ้าจะถามว่าทำไมต้องเลือกที่นี่ ก็บอกเลยว่าไม่ได้มีเหตุผลพิเศษ แค่อยากเห็นยุโรปตะวันออก และต้องการไปเจอเพื่อนที่เวียนนา และเมื่อได้แผนมาคร่าว ๆ เราก็จัดการจองตั๋วเครื่องบิน โดยบินจากประเทศสวีเดน ไปลงที่ปราก ขึ้นรถไฟจากปรากไปเวียนนา และขึ้นรถไฟต่อจากเวียนนาไปบูดาเปสต์ สุดท้ายขึ้นเครื่องบินจากบูดาเปสต์กลับสวีเดน รายละเอียดการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ ผู้เขียนจะเขียนให้อ่านแยกต่างหากเพราะความที่ประเทศสวีเดน ประเทศสาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย และประเทศฮังการี เป็นประเทศในยุโรป และอยู่ในกลุ่มเช็งเก้น ทำให้ผู้เขียนไม่ต้องขอวีซาให้ยุ่งยาก แค่มีพาสปอร์ต กับวีซาทำงานและอยู่อาศัยในสวีเดน ผู้เขียนก็สามารถเดินทางได้แบบชิลล์ ชิลล์ ผู้เขียนหาข้อมูลการจองโรงแรมผ่านอโกด้า (Agoda) ซึ่งผู้เขียนเน้นที่ความคุ้มค่าของเงิน ไม่ได้เน้นที่ความหรูหราแต่ประการใด ผู้เขียนเลือกที่พักจากการอ่าน และการให้คะแนน การรีวิวในเว็บ และเลือกที่พักที่อยู่ในเมือง เพราะไม่ต้องการขึ้นรถไปไกล ๆ เรียกง่าย ๆคือเน้นความสะดวกเป็นหลักที่พักที่ปรากถือว่าดี และคุ้มค่าเงินมาก เป็นแนวคอนโด มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ที่สำคัญเจ้าของเป็นผู้หญิง ให้บริการ และใส่ใจลูกค้าดีมาก วันที่ไปถึงเจ้าของเดินมารอรับที่ด้านหน้าตึกและช่วยยกกระเป๋าเข้าไป ที่ประทับใจสุด ๆ คือขณะที่กำลังจะถูกคนขับแทกซี่ขูดรีดอยู่นั้น เจ้าของที่พักแห่งนั้นก็มาขวางไว้ เธอเล่าให้ฟังว่า ลูกค้าของเธอถูกแทกซี่ขูดรีดบ่อย ๆ ทำให้เธอต้องมารอรับพวกเรา และอีกอย่างเธอเป็นคนรักความถูกต้อง ไม่ต้องการให้คนเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพราะเธอต้องการให้ปรากเป็นเมืองน่าเที่ยวและมีชื่อเสียงในทางที่ดี ไม่ใช่เป็นเมืองที่มีแต่ชื่อเสีย นั่นคือเหตุผลที่เธอมาช่วยเจรจาให้ อีกอย่างที่ประทับใจคือเธอคนนั้นจำรายละเอียดอาหารเช้าของลูกค้าได้ทุกคน ส่วนที่เที่ยวประทับใจหลายที่โดยเฉพาะโบสถ์อันสวยงาม และคนในประเทศที่ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับชาวต่างชาติเมื่อเที่ยวที่ปรากจนพอใจ ก็ถึงเวลาต้องเดินทางต่อไปยังเวียนนา ประเทศออสเตรีย ผู้เขียนก็จัดการจองตั๋วรถไฟจากปราก ไปเวียนนา เพราะต้องการไปเจอเพื่อนที่โน่น ค่าตั๋วรถไฟจากปรากไปเวียนนา ตกคนละประมาณ 39 ยูโร หรือประมาณ 1300-1500 บาทต่อคน เราเลือกตั๋วกลางวัน เพราะอยากเห็นภูมิประเทศ และบรรยากาศรอบข้างทางรถไฟ รถไฟเป็นแบบรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลาวิ่งประมาณ 5-6 ชั่วโมงก็ถึงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ช่วงบ่ายแก่ ๆ เมื่อไปถึงสถานีรถไฟในออสเตรีย ก็ถึงกับตกใจ เพราะคนอพยพจากตะวันออกกลางนั่ง ๆ นอน ๆ กระจุกอยู่เป็นหย่อม ๆ ตามที่ว่าง เห็นแล้วก็พลอยคิดไปถึงคนเร่ร่อน แถวหัวลำโพงบ้านเรา ☹ออสเตรียเป็นยุโรปตะวันตก โดยส่วนตัวก็คิดว่าสภาพเมืองหลวง ก็ไม่แตกต่างจากสวีเดนมากนัก สิ่งที่ประทับที่เวียนนาคือ การได้เจอเพื่อนจากเมืองไทย และได้แวะเยี่ยมชมพระราชวังในเวียนนา ที่ประดับประดาสวนด้วยดอกไม้นานาชนิด ส่วนรายละเอียดการท่องเที่ยวในเวียนนา จะมาเล่าให้อ่านอีกทีคราวหน้า เที่ยวเวียนนาอยู่ 3 วันก็ถึงเวลาเดินทางต่อไปเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และผู้เขียนก็จัดการจองตั๋วรถไฟ และโรงแรมช่วงกลางคืนก่อนวันเดินทางตามแบบฉบับคนชอบเที่ยวแบบชิลล์ ชิลล์จากเวียนนา ไปบูดาเปสต์ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟแค่สองชั่วโมงกว่า ๆ เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงเลือกออกเดินทางจากเวียนนาช่วงบ่ายแก่ ๆ เพราะอยากเก็บรายละเอียดที่เวียนนาก่อนออกเดินทาง และอีกอย่างกะว่าไปถึงบูดาเปสต์ก็ไปเข้าโรงแรมนอน แล้วออกเที่ยวตอนเช้าทีเดียวเลย เพราะผู้เขียนคิดว่าบูดาเปสต์อาจไม่มีอะไรน่าสนใจ แนะ!! ตัดสินใจเค้าก่อนได้เห็นด้วยตาไปอี๊ก 😊 ผู้เขียนกลัวมีปัญหาเรื่องการเดินทาง เลยเลือกจองโรงแรมที่อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟ ราคาไม่แพง และที่สำคัญราคาถูกแสนถูกเมื่อตัดสินจากรูปภาพในหน้าเว็บไซส์ไปถึงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของประเทศฮังการีช่วงค่ำ ๆ ด้วยบรรยากาศชวนให้ขนลุก ทั้งคนที่สถานีรถไฟค่อนข้างน้อย และผู้คนก็ดูค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยเป็นมิตรมากนัก อันหลังอาจจะคิดเอง เพราะผู้เขียนอาจจะเอาไปเปรียบกับที่ปราก ที่ผู้คนดูจะเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากกว่า จากสถานีรถไฟ เราก็เดินตามผู้โดยสารท่านอื่น ๆ ไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งจริง ๆผู้เขียนตั้งใจจะมองหาแทกซี่ แต่ก็หาไม่เจอ ก็เลยต้องตามคนอื่น ๆ ไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน ถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน เค้าก็เหมือนไม่อยากตอบ อาจจะเป็นเพราะเค้าไม่รู้ หรือเค้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็ไม่ทราบได้ เลยต้องหาคำตอบจากอากู๋ซะเอง ถ้าเป็นกลางวันก็คงพอเดินหาแทกซี่ไปได้ แต่นี่ค่ำแล้ว เลยขึ้นรถไฟใต้ดินไป แต่แค่สองสถานี ก็ถึงที่พัก เอาจริง ๆ บนรถไฟใต้ดินคนโหลงเหลง และบรรยากาศดูเงียบ ๆ ทึม ๆ ยิ่งผู้เขียนฟังภาษาเค้าไม่ออก ยิ่งชวนขนหัวลุกเมื่อไปถึงโรงแรมก็ยิ่งผิดหวังไปกันใหญ่ เพราะในรูปดูสวย บรรยากาศดี แต่ความเป็นจริงแทบจะตรงกันข้าม แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า ”สินค้าก็ตามราคา” และเราก็เป็นคนเลือกเอง จะบ่นไปใยแม้คืนแรกที่บูดาเปสต์จะไม่ค่อยประทับใจ แต่หลังจากวันแรกที่ได้เดินเที่ยวในเมือง และดื่มด่ำความงามของแม่น้ำดานูบยามค่ำคืน ใจผู้เขียนก็เปลี่ยนไป และถ้าต้องให้เลือก 3 เมืองนี้ ผู้เขียนก็ขอเลือกมาบูดาเปสต์เป็นเมืองที่จะกลับมาเยี่ยมอีกครั้งเป็นอันดับแรก เที่ยวไป เที่ยวมา ก็หมดเวลาพักผ่อน ถึงเวลากลับสวีเดน ด้วยเครื่องบิน และเดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยสำหรับใครที่ชอบความท้าทาย ไม่ติดหรู ไม่เหมือนใคร แนะนำการท่องเที่ยวแบบค่อยเป็น ค่อยไปแบบนี้เลย เพราะนอกจากได้ความสนุก ความสุข ความมันส์แล้ว ยังได้ประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเครดิต ภาพปก และภาพถ่ายทั้งหมด โดยผู้เขียนวันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !