ใกล้เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้วนะครับ ปีใหม่ปีนี้มีที่ท่องเที่ยวในใจกันหรือยังครับ หน้าหนาวแบบนี้สถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดก็คงไม่พ้นบรรยากาศทางภาคเหนือนะครับ แต่ว่าจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ก็จะมากมายไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะไปเที่ยวในช่วงเดียวกันค่อนข้างเยอะ ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวแออัด หนาแน่นไปด้วยผู้คน แย่งกันซื้อ แย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันเที่ยวนะครับ วันนี้ผมมีสถานที่ทางภาคเหนืออีกที่หนึ่งที่จะมาแนะนำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศอากาศหนาวทางเหนืออีกที่หนึ่ง ที่นี่เลยครับ จังหวัดลำปางเมืองเขลางค์นครหรือเมืองรถม้านั่นเอง เริ่มจากการเดินทางก่อนนะครับ หากเพื่อนๆ มาจากกรุงเทพฯ ถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ ระยะทางประมาณ 597 กิโลเมตรใช้เวลาระยะเดินทางก็ประมาณ 7 ชั่วโมงกว่าๆ ส่วนใครที่สะดวกที่จะเดินทางด้วยสายการบินก็ถือว่าสะดวกและรวดเร็วทันใจมากๆ ก็ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากสนามบินดอนเมือง ลงที่สถานีสนามบินจังหวัดลำปาง หลังจากที่เราลงจากเครื่องแล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเองครับในการเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองลำปางหรือเมืองเขลางค์นครเมืองแห่งรถม้านั่นเอง ก่อนที่ผมจะพาเพื่อนๆ เข้าไปเที่ยวในตัวเมืองลำปาง เรามาทราบประวัติย่อๆ ของจังหวัดลำปางกันสักนิดนึงนะครับ จังหวัดลำปางนั้น มีอายุเก่าแก่มากว่า 1,000 กว่าปีแล้วครับ เดิมมีชื่อเรียกกันหลายชื่อมาก ตามหลักฐานตำนานที่ปรากฏก็รวมประมาณ 11 ชื่อ เช่น กุกกุฏนคร ลัมภกับปะนคร ศรีนครชัย นครเวียงคอกวัว เวียงดิน เขลางค์นคร นครลำปางคำ เขลางค์ อาลัมภางค์ เมืองละคร และนครลำปางจากการที่เรียกกันต่อๆ กันมาว่า “กุกกุฏนคร” ซึ่งแปลว่าไก่ ดังนั้น ตราประจำจังหวัดลำปาง ก็คือ “ไก่ขาว” นั่นเอง จังหวัดลำปาง สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1223 จากหนังสือพงศาวดารโยนกกะว่า สุพรหมฤาษี สร้างเมืองเพื่อให้ เจ้าอนันตยศ โอรสแห่งพระนางจามเทวีคู่กับเมืองหริภุญชัยหรือเมืองลำพูนในปัจจุบันนั้นเอง ให้ชื่อเมืองว่า นครเขลางค์ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นนครอัมภางค์ และเปลี่ยนเป็น นครลำปาง ในภายหลัง ในสมัยโยนกเชียงแสนนั้น เมืองลำปางเคยตกอยู่ในอำนาจของขอม เคยเป็นเมืองประเทศราชของพม่าและเชียงใหม่ด้วยในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี แต่เจ้าทิพย์ช้างก็สามารถขับไล่พวกพม่าออกจากเมืองลำปางได้สำเร็จ จึงได้รับสถาปนาเป็น พระยาสุวลือไชยสงคราม ขึ้นครองนครลำปางในปี พ.ศ. 2279 แล้วต่อมาในปี พ.ศ. 2307 เจ้าแก้วฟ้า พระโอรสของเจ้าทิพย์ช้างได้ขึ้นครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง ณ ลำพูน รวมทั้ง ณ เชียงใหม่ ในเวลาต่อมา และมี “ เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต ” เป็นผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย จังหวัดลำปางได้ประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2435 สมัยรัชกาลที่ 5 ขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพสมัยหนึ่ง ต่อมาแยกเป็นมณฑลมหาราชในปี 2458 และในเวลาต่อมาได้ประกาศยกเลิกมณฑลทั่วราชอาณาจักร ลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดลำปางตามพระราชบัญญัติบริหารราชการอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 ตั้งแต่นั้นมา เอาละครับพอได้ทราบประวัติคร่าวๆ ของเมืองลำปางกันไปแล้ว ต่อไปผมก็จะพาเพื่อนๆ ไปชมเมืองลำปางนะครับ ถือว่าเป็นจังหวัดหนึ่งเดียวของไทยก็ว่าได้ที่ยังมีรถม้าให้บริการในระยะทางใกล้ๆ ในตัวเมือง ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของคนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง ซึ่งความเป็นมาของรถม้าลำปางก็เริ่มจากสมัยรัชกาลที่ 5 ที่พระองค์ทรงสั่งรถม้าจำนวนมากมาใช้เป็นรถหลวง หลังจากนั้นรถม้าก็ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ รถม้าจึงถูกส่งออกไปยังนอกเมือง แต่ก็มีการใช้รถม้าในการเดินทางระหว่างสถานีรถไฟกับตัวเมืองบ้าง ในปัจจุบันรถม้าแม้ไม่ได้ใช้เป็นพาหนะหลักแล้ว แต่ก็ยังเป็นพาหนะและใช้เป็นสัญลักษณ์ในการท่องเที่ยวของจังหวัดลำปาง ที่ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งรถม้าชมบรรยากาศเมืองลำปาง โดยสมาคมรถม้าจังหวัดลำปาง ได้จัดตั้งและกำหนดค่าโดยสารในการนั่งรถมาไว้ ดังนี้ คือ 1. รอบเมืองเล็ก ค่าบริการก็ 150 บาท 2. รอบเมืองใหญ่ค่าบริการ 200 บาท 3. เหมาชั่วโมงชั่วโมงละ 300 บาท ซึ่งมีคิวจอดรถม้าอยู่เป็นจุด ดังนี้ 1. หน้าศาลากลางหลังเก่า บริการระหว่างเวลา 06.00 - 16.00 น. 2. หน้าโรงแรมทิพย์ช้างลำปาง โรงแรมเวียงลคอร และโรงแรมลำปางเวียงทองบริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 23.00 น. 3. คิวรถม้าเล็กๆ อยู่หน้าโรงแรมบางโรงแรม และตามสถานที่ท่องเที่ยวในลำปางต่างๆ เช่นวัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นต้น เส้นทางเดินรถม้า มี 3 เส้นทาง ดังนี้ 1. เส้นทางรอบเมืองเล็ก เริ่มขึ้นที่ศาลากลางเก่า รถจะเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกเข้าถนนทิพย์ช้าง สองข้างถนนก็จะมีร้านค้าลักษณะเป็นตึกเก่าโบราณ แล้วก็จะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบ้านเชียงราย ซึ่งตรงนี้ก็จะมองเห็นแม่น้ำวังไหลขนาบกับถนน ส่วนด้านขวาผ่านห้าแยกหอนาฬิกาของตัวเมืองลำปาง เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง จุดนี้นักท่องเที่ยวก็สามารถถ่ายรูปคู่กับรถม้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ หลังจากถ่ายรูปเสร็จได้รูปสวยงามกันพอแล้ว รถม้าก็จะพาเราเข้าสู่ถนนบุญวาทย์ ซึ่งเป็นย่านใจกลางธุรกิจการค้าของเมืองลำปางเลยทีเดียว และก็จะมาสิ้นสุดตรงจุดเดิม ใช้เวลาประมาณ 20 นาที 2. เส้นทางรอบเมืองใหญ่ เริ่มขึ้นจากศาลากลางเก่าเป็นเส้นทางเดียวกันกับเส้นม้ารอบเมืองเล็ก ไปจนถึง สามแยกถนนทิพย์ช้าง – ถนนบ้านเชียงราย แต่ไม่เลี้ยวซ้ายไปหอนาฬิกา แต่จะตรงไปตามถนนวังขวาเลียบแม่น้ำวัง ผ่านบ้านไม้เก่าชื่อบ้านบะเก่าซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ผ่านสวนสาธารณะเขลางค์นคร แล้วก็เลี้ยวซ้ายผ่านสวนผ่านตลาดอัศวิน ซึ่งเป็นแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนที่คึกคักทีเดียวบนถนนท่าคราวน้อย แล้วก็มาถึงห้าแยกหอนาฬิกา เข้าสู่ถนนบุญวาทย์แล้วก็สิ้นสุดมาที่จุดเดิม ใช้เวลาประมาณ 40 นาที 3. เส้นทางอื่นๆ คือการเหมารถม้าเป็นชั่วโมงๆ ละ 300 บาท นักท่องเที่ยวก็สามารถเลือกชมเมืองได้ตามความต้องการตามที่เราจะไป สถานที่ เช่น ข้ามแม่น้ำวังบนสะพานรัชดาภิเษก ชมบ้านเสานัก วัดพระแก้วดอนเต้าและวัดอื่นๆ หรือจะแวะไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังของชาวล้านนาและของชาวจังหวัดลำปาง อีกเส้นทางหนึ่งก็คือ การชมย่านตลาดจีนบนตลาดเก่าหรือ กาดกองต้า นั่นเอง กาดกองต้า เป็นถนนเศรษฐกิจในอดีตที่ยังคงมีสภาพตึกแถวโบราณตั้งอยู่สองข้างทาง บ้านทรงเก่ามีลวดลายที่สวยงาม แชมสถานีรถไฟที่เป็นอาคารแบบโบราณ แล้วก็จะมีจุดแวะถ่ายภาพห้าแยกหอนาฬิกา นักท่องเที่ยวก็สามารถแวะซื้อผลิตภัณฑ์เซรามิค บริเวณหน้าโรงเรียนเทศบาล 4 นี้ได้ ซึ่งอยู่ติดกับหอนาฬิกานั่นเอง มีร้านค้าตั้งอยู่มากมายหลายร้านให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเลือกชมได้ตามใจชอบ เมื่อเที่ยวชมบรรยากาศจนอิ่มหนำสำราญกับความบันเทิงทางอารมณ์แล้ว เมื่อท้องหิวแถวๆ นี้ก็จะมีร้านอาหารในตัวเมืองลำปาง ไม่ว่าจะเป็นตามร้านข้างทางหรือจะเป็นร้านแบบนั่งทานให้นักท่องเที่ยวได้ชิม ได้อิ่มกันหลายร้าน สำหรับวันนี้ก็พาเพื่อนๆ ท่องเที่ยวกันพอสมควรแล้ว การหาที่พักที่นอนในค่ำคืนนี้ก็จะมีโรงแรมในตัวเมืองให้เลือกใช้บริการพักผ่อนได้ตามอัธยาศัยหลายโรงแรมเลยทีเดียว...คืนนี้นอนหลับพักผ่อนเอาแรงกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปเที่ยวเมืองลำปางแห่งไหนกันต่อ คอยติดตามกันนะครับ จังหวัดลำปางมีที่ท่องเที่ยวที่สวยงามกันอีกหลายแห่ง...นะครับ เครดิตรูปภาพ ครูชอวร์ กวีหลังบ้าน