วัดไทยพุทธคยา วัดไทยวัดแรกในประเทศอินเดีย สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2500 โดยความอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทย ฉะนั้นวัดนี้จึงมีอายุประมาณ 65 ปีแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเปรียบเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่พระพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้กลับสู่ดินแดนพุทธภูมิอีกครั้ง วัดนี้จึงนับเป็นสถานที่พักของนักแสวงบุญชาวไทยแห่งแรกๆ ที่เดินทางมายังเมืองพุทธคยาตั้งแต่อดีตกาลเนิ่นนานมา ผู้เขียนเองมีโอกาสเดินทางมาแสวงบุญที่พุทธคยาครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช 2553 ก็ได้มาพักอาศัยวัดแห่งนี้ หลังจากนั้นก็ได้เดินทางมาแสวงบุญที่พุทธคยาอีกหลายครั้ง แม้จะไม่ได้มาพักที่นี่ แต่ก็ถือโอกาสแวะมาไหว้พระทำบุญที่นี่ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน จึงขอพาไปไหว้พระในพระอุโบสถและลานโพธิ์ พร้อมพาไปชมโรงพยาบาลพระพุทธเจ้าพระอุโบสถ เมื่อเดินเข้าวัดจะเห็นพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่นที่สุดของวัด หากเรามองดูพระอุโบสถ หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคุ้นๆคล้ายกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...ที่จริงแล้ว พระอุโบสถวัดนี้จำลองมาจากพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเราจะพบเห็นได้ทั่วไปในเหรียญกษาปณ์ เหรียญราคา 5 บาท และไม่เพียงแต่เหมือนกันภายนอกเท่านั้น แม้ภายในก็ได้ประดิษฐานพระพุทธชินราช (จำลอง) เป็นพระประธาน เช่นเดียวกันอีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งซึ่งพุทธศาสนิกชนผู้มาเยือนควรได้ชมคือภาพจิตรกรรมชาดกเรื่องพระมหาชนกผู้เขียนได้เข้าไปไหว้พระประธาน สวดมนต์ ในอุโบสถ พอระลึกถึงแล้วก็เกิดความรู้สึกดีใจที่ได้มากราบองค์พระประธานอีกครั้ง เหมือนได้มาเติมพลังงานแห่งความสุขความสบายใจ พักใจจากเรื่องต่างๆ มาเข้าสู่โหมดสงบจิตสงบใจ การได้มาแบบนี้เป็นบุญจริงๆนะ ได้แต่หวังว่าขอให้มีสุขภาพแข็งแรงจะได้มีโอกาสมาอีกหลายๆ ครั้ง ในโอกาสต่อไปอีกหนึ่งสถานที่ในวัดไทยพุทธคยาที่แนะนำคือ ลานโพธิ์ นอกจากพระอุโบสถ สถานที่ไหว้พระทำบุญจุดหลักซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของวัดแล้ว ยังมีลานโพธิ์ ที่มีต้นพระศรีมหาโพธิ์และมีองค์พระพุทธเมตตาจำลองประดิษฐานอยู่ เป็นสถานที่สงบ เหมาะแก่การไหว้พระสวดมนต์ เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานโรงพยาบาลพระพุทธเจ้า ( BDDHA HOSPITAL) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้อนุมัติ พร้อมทั้งจัดทีมอาสา ซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากประเทศไทย หลายชุดผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่ดูแลสุขภาพ พระภิกษุ สามเณรและผู้แสวงบุญ ในฤดูกาลที่มีผู้แสวงบุญมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งในช่วงที่เราเดินทางไปนั้น มีหน่วยแพทย์จากโรงพยาบาลสงฆ์มาทำหน้าที่ประจำการตั้งแต่ วันที่ 21 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2565 หลักจากทีมอาสาชุดนี้กลับประเทศไทยแล้ว ก็จะมีทีมอาสาชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน ผู้แสวงบุญที่มีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย สามารถเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นและรับยาไปรับประทานแบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายโดยประการทั้งปวง หากเจ็บป่วยฉุกเฉินก็มีรถแอมบูแลนซ์ คอยรับส่งผู้ป่วยเพื่อส่งต่อการรักษาที่รวดเร็วทันเวลาต่อไปเราได้ไปพูดคุยกับทีมงานอาสาที่เปี่ยมด้วยใจเมตตาที่ประจำอยู่ที่นั่น ท่านบอกว่า “มีหมอและทีมงาน 5 รุ่นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่รักษาอาการอาพาธของพระภิกษุ สามเณรและรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้แสวงบุญ” ผู้เขียนนึกถึงพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “โย ภิกฺขเว มํ อุปฏฐเหยฺย โส คิลานํ อุปฏฐเหยฺย” แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงอุปัฏฐากภิกษุอาพาธเถิด” เป็นบุญจริงๆ น่าชื่นชมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ทำให้มีสถานที่ดีๆ แบบนี้เกิดขึ้น เป็นที่พึ่งแก่ผู้เดินทางแสวงบุญในยามเจ็บป่วยไข้ไม่สบายถ้าใครที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ จะรู้ดีว่า หากเจ็บป่วยไม่สบาย เวลาไปหาหมอจะมีความลำบากมากโดยเฉพาะด้านภาษาในการสื่อสาร แต่มาที่นี่ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียแล้ว สบายใจไม่กังวล เพราะหมอเป็นคนไทย สื่อสารกันเข้าใจ มีอาการป่วยแบบไหน อย่างไร สามารถบอกคุณหมอได้อย่างละเอียด เมื่อคุณหมอรู้อาการดังกล่าวชัดเจน ก็จะสามารถวินิจฉัย รักษาหรือจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้ถูกต้อง ความเจ็บป่วยที่ประสบอยู่ก็จะหายไปเพราะได้การรักษาและตัวยาที่ถูกกับโรคนั้นๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นใจเปรียบเสมือนอยู่ประเทศไทยสรุป มาที่นี่ครั้งใด ก็สุขใจครั้งนั้น อบอุ่นใจเหมือนอยู่ประเทศไทย อิ่มบุญปลื้มใจที่ได้ไหว้พระสวดมนต์ สร้างบุญกุศลคุณงามความดี พร้อมชมภาพจิตรกรรมสวยงามในพระอุโบสถ ที่สำคัญมาครั้งนี้ได้เยี่ยมชมโรงพยาบาลพระพุทธเจ้า รักษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย นับว่าเป็นสถานที่พึ่งในยามเจ็บป่วยสำหรับผู้แสวงบุญ สถานที่อันเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาอย่างหาประมาณมิได้ เครดิตรูปภาพปกและภาพประกอบทั้งหมด : โดยผู้เขียนบทความ🗺 แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “ท่องเที่ยว”